เมื่อคุณนึกถึงชื่อ “ลิซ่า แฟรงค์” ภาพในจินตนาการอาจเป็นสีสันจัดจ้านแบบนีออน ผสมผสานกับกลิตเตอร์ระยิบระยับและเหล่าสัตว์น่ารักน่าหยิกที่ปรากฏอยู่บนสมุด เครื่องเขียน และของใช้ในวัยเรียนช่วงยุค 80s-90s สารคดีชุดใหม่จาก Prime Video เรื่อง “Glitter and Greed: The Lisa Frank Story” (2024) จะชวนคุณย้อนกลับไปพิจารณาความจริงเบื้องหลังสีสันสดใสเหล่านั้น พร้อมสำรวจคำถามว่าลิซ่า แฟรงค์เป็นศิลปินหญิงเจ้าของแบรนด์ที่เราคิดไว้จริงหรือไม่
ตลอดสี่ตอนของซีรีส์นี้ ผู้ชมจะได้เห็นความขัดแย้งที่สลับซับซ้อน มีการเปิดเผยว่าเจมส์ กรีน อดีตสามีและหุ้นส่วนธุรกิจของลิซ่า อาจมีบทบาทสำคัญในด้านการออกแบบและบริหารงานเบื้องหลังแบรนด์มากกว่าที่เคยเข้าใจกัน แม้กระทั่งชื่อเสียงและผลงานศิลปะหลายชิ้นที่เคยเชื่อว่าเป็นฝีมือของลิซ่าเพียงผู้เดียว อาจตกอยู่ในเงื้อมมือการควบคุมของเจมส์ นอกจากนี้ ตลอดการดำเนินเรื่องยังมีข้อกล่าวหาเรื่องการเอารัดเอาเปรียบพนักงาน สภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ และการจัดการที่ซับซ้อนระหว่างคู่สามีภรรยาผู้กุมบังเหียนแบรนด์
คำถามที่สะกิดใจคือ เราควรเชื่อใครดีในเมื่อทุกคนที่ออกมาพูดล้วนมีผลประโยชน์และความเจ็บปวดส่วนตน? สารคดีได้ฉายภาพความขัดแย้งของสองฟากฝั่ง ระหว่างลิซ่าผู้ถูกมองว่าหมดไฟ ไร้ทักษะจริงในการสร้างสรรค์ กับเจมส์ผู้โดนสังคมตราหน้าว่าเป็นผู้บริหารเลือดเย็น กดขี่ และเฉียบขาด บรรยากาศของเรื่องจึงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ ชวนให้ผู้ชมใคร่ครวญและประเมินข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
รีวิวและเรื่องย่อ Glitter and Greed: The Lisa Frank Story
“Glitter and Greed: The Lisa Frank Story” เป็นสารคดีชุดความยาวสี่ตอน ที่เจาะลึกเบื้องหลังแบรนด์ Lisa Frank แบรนด์เครื่องเขียนและสินค้าวัยเด็กสุดโด่งดังในสหรัฐอเมริกายุค 80s-90s หากใครจำความรู้สึกเวลาหยิบสมุดหรือตลับดินสอสีนีออนที่ประดับด้วยลายลูกสุนัขแฟนตาซีหรือโลมาที่มีประกายวิบวับได้ ก็คงจะรู้ว่าแบรนด์นี้มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมและภาพลักษณ์ต่อวัยเด็กของหลายคนเพียงใด สารคดีนี้ตั้งใจจะก้าวพ้นภาพลักษณ์อันสดใส มุ่งส่องไฟไปที่ตัวบุคคลและการบริหารงานภายในบริษัท
ตลอดการเล่าเรื่อง ผู้สร้างได้รวบรวมบทสัมภาษณ์จากอดีตพนักงาน ศิลปิน และทีมงานฝ่ายผลิตที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุ่งเรืองและความร่วงโรยของบริษัท ในขณะที่เรามักเข้าใจว่าลิซ่า แฟรงค์คือจิตวิญญาณของงานศิลปะสไตล์นี้ ซีรีส์กลับเผยให้เห็นมุมมองที่แตกต่าง มีการกล่าวหาว่าผู้ที่มีบทบาททางศิลปะและการวางแนวทางของสินค้านั้น อาจเป็นเจมส์ กรีน ผู้เป็นอดีตสามีของเธอ แถมในอีกด้านยังมีคำกล่าวหาเรื่องการทำงานภายใต้อำนาจกดขี่ การลดค่าตอบแทนจนพนักงานต้องยากลำบากขัดสน และบรรยากาศการบริหารที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและไม่เป็นธรรม
หากย้อนกลับไปในยุคที่สติ๊กเกอร์และอุปกรณ์เครื่องเขียนสีแสบตากลายเป็นไอคอนของห้องเรียน ลิซ่า แฟรงค์ถูกสร้างให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความคิดสร้างสรรค์และความฝันแบบไม่รู้จบ ลวดลายประกอบด้วยสัตว์นานาชนิดที่ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากโลกการ์ตูนสีลูกกวาด ตั้งแต่ลูกสุนัขนุ่มฟูจนถึงโลมามหาสมุทรสีรุ้ง ชื่อของลิซ่า แฟรงค์ติดตาตรึงใจกลุ่มลูกค้าวัยเยาว์ กระทั่งเป็นภาพจำที่สร้างรายได้มหาศาลในช่วงที่แบรนด์กำลังพุ่งทะยาน
แต่สารคดี “Glitter and Greed” ได้ตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า ลิซ่าเป็นศิลปินผู้อยู่เบื้องหลังงานศิลปะจริง ๆ หรือไม่? หรือเธอเพียงแค่เป็นหน้าฉากของธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยคนอื่น โดยเฉพาะเจมส์ กรีน? ผู้ชมจะพบว่าในระหว่างที่ลิซ่าอาจมีบทบาทในการกำหนดทิศทางภาพลักษณ์โดยรวม แต่เครดิตส่วนใหญ่กลับถูกอ้างว่ามาจากเจมส์ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์และความสำเร็จด้านการออกแบบ ที่สำคัญคือมีการเปิดเผยว่าเมื่อลิซ่าห่างหายจากออฟฟิศหลังมีลูก เจมส์กลับกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่น ใช้วิธีการบริหารที่เข้มงวด ดุเดือด และอาจถึงขั้นกดขี่พนักงาน
เจมส์ กรีน อดีตสามีของลิซ่า แฟรงค์ เป็นบุคคลที่สารคดีหยิบยกมาพิจารณาอย่างละเอียด เขาถูกวาดภาพให้เป็นคนตรงไปตรงมา เยือกเย็น และไร้เยื่อใยต่อความรู้สึกผู้อื่น มีการกล่าวอ้างว่าเจมส์คือผู้กำหนดงานศิลป์ ตัวตนของแบรนด์ และไอเดียทั้งหมดที่ทำให้ Lisa Frank กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อย่างไรก็ดี ภายใต้เปลือกนอกของความสำเร็จนี้ มีเรื่องเล่าจากอดีตพนักงานว่าสภาพแวดล้อมการทำงานภายใต้การบริหารของเขาชวนอึดอัด เกิดความหวาดกลัว และไม่เป็นธรรม
การออกกฎให้พนักงานทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนเต็มที่ การปิดกั้นโอกาสก้าวหน้า และบางครั้งถึงขั้นล็อกประตูไม่ให้พนักงานออกจากอาคารก่อนเวลา เป็นเพียงตัวอย่างของสภาพแวดล้อมที่สารคดีนำเสนอ เจมส์ถูกกล่าวหาว่าใช้ความแข็งกร้าวในการขับเคลื่อนบริษัทให้รอด ซึ่งอาจสะท้อนคุณค่าธุรกิจแบบ “กำไรต้องมาก่อนมนุษย์” ความแตกแยกภายในครอบครัวและความไม่ลงรอยกับลูกชายตัวเองก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูเย็นชาและยากจะทำให้คนดูเห็นใจ
สิ่งที่น่าหดหู่ในเรื่องนี้คือพนักงานที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าการได้ทำงานในบริษัทสีสันแสบตานั้นคงเป็นงานในฝัน กลับต้องพบกับสถานการณ์ที่กดดันและไร้ทางออก พนักงานหลายคนเล่าในสารคดีว่าพวกเขาเคยได้รับค่าตอบแทนน้อยเกินจนไม่เพียงพอจะเลี้ยงตัวเอง ต้องไปขอรับสวัสดิการสังคม หรือบัตรอาหารจากภาครัฐ ทั้งที่พวกเขาทำงานเต็มเวลาให้กับบริษัทซึ่งมีเจ้าของดำเนินชีวิตอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา
ความไม่สมดุลนี้บ่งบอกถึงโครงสร้างองค์กรที่ไม่ยั่งยืนและขาดการดูแลทรัพยากรมนุษย์อย่างเหมาะสม แม้ว่าภาพลักษณ์สินค้า Lisa Frank จะส่งผ่านความสุข สนุกสนาน และความฝัน แต่ในความเป็นจริง พนักงานกลับต้องเผชิญภาวะเหมือนติดอยู่ในกล่องสีสันที่ไม่มีทางหนี การเปรียบเทียบสติ๊กเกอร์หลากสีบนสมุดกับชีวิตที่ดูเหลือทนของพนักงาน เป็นเสมือนกระจกสะท้อนความขัดแย้งระหว่างภาพฝันในแบรนด์กับความจริงอันโหดร้ายในบริษัท
ปัญหาคือ สารคดีนี้เต็มไปด้วยการกล่าวหาที่สวนทางกัน เจมส์อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการในออฟฟิศ แต่ในขณะเดียวกัน เจมส์เองก็ออกมาวิจารณ์ลิซ่าว่าแท้จริงเธอไม่เคยมีความสามารถทางศิลปะโดดเด่น และใช้เขาเป็นเครื่องมือสร้างชื่อเสียง สองสามีภรรยาคู่นี้ต่างโยนความผิดให้กันและกัน ขณะที่พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายคนก็ยืนยันถึงประสบการณ์เลวร้ายที่เคยเจอ
ความยากในการตัดสินว่าใครผิดใครถูกทำให้ผู้ชมต้องตั้งคำถาม: สุดท้ายแล้ว เรื่องนี้คือเรื่องของคนที่ต่างแย่งชิงเครดิตกัน หรือเป็นปัญหาการบริหารจัดการองค์กรที่ผิดพลาดจนทำให้บรรยากาศในการทำงานเน่าเปื่อย? บางคนอาจเห็นว่าลิซ่าเป็นเพียงเหยื่อที่ถูกลากเข้ากระแสความขัดแย้งนี้ ในขณะที่อีกหลายคนมองว่าเธอมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรมขึ้นมาเอง
เรื่องราวนี้ไม่ใช่กรณีแรกของการเปิดโปงความไม่โปร่งใสเบื้องหลังแบรนด์ดัง สารคดีเกี่ยวกับแบรนด์เสื้อผ้าอย่าง Abercrombie & Fitch ใน “White Hot: The Rise and Fall of Abercrombie & Fitch” หรือ “Bob Ross: Happy Accidents, Betrayal & Greed” ล้วนสะท้อนด้านมืดของธุรกิจที่เคยถูกมองว่าสวยงาม ในกรณีของลิซ่า แฟรงค์ ความแตกต่างอาจอยู่ที่เราคุ้นเคยกับภาพลูกสุนัขขนฟู ม้ายูนิคอร์นสีลูกกวาด และสวรรค์แห่งกลิตเตอร์จนไม่เคยนึกเลยว่าฉากหลังจะเต็มไปด้วยความเดือดดาลและความขมขื่นเช่นนี้
การรู้ว่ามีอีกหลายกรณีที่แบรนด์ดังใช้ภาพลักษณ์ที่สวยงามเพื่อปิดบังสภาพการทำงานที่เลวร้าย ช่วยให้เราเทียบเคียงได้ว่านี่เป็นปัญหาร่วมสมัยในระบบทุนนิยม ความกดดันในการสร้างกำไร การแข่งขันดุเดือด และความคาดหวังของผู้บริโภค ล้วนเป็นเชื้อไฟทำให้ผู้บริหารบางคนยอมทิ้งหลักมนุษยธรรมเพื่อคงสถานะผู้นำในตลาด
แม้สารคดีจะนำเสนอคำแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรจากลิซ่า แฟรงค์ แต่การขาดการปรากฏตัวด้วยตนเองทำให้ผู้ชมไม่สามารถรับฟังท่าทีหรือความจริงใจของเธอโดยตรง ต่างจากกรณีสารคดีอย่าง “Martha” เกี่ยวกับมาร์ธา สจ๊วร์ต ที่เจ้าตัวออกมาพูดคุย แม้จะถูกวิจารณ์หรือถูกเปิดเผยจุดอ่อน แต่ก็นับว่าเธอยังให้พื้นที่แก่ผู้ชมในการตัดสินใจด้วยตนเอง
ใน “Glitter and Greed” การขาดน้ำเสียงจากลิซ่าเป็นช่องว่างใหญ่ที่เปิดโอกาสให้หลายฝ่ายวาดภาพเธอตามใจชอบ เรื่องราวจึงมุ่งไปที่คำกล่าวหาต่าง ๆ โดยไม่มีโอกาสให้เจ้าตัวอธิบายเพิ่มเติม อาจกล่าวได้ว่าการขาดเสียงของเธอทำให้เรายากจะเข้าถึงความจริงเบื้องลึก
“Glitter and Greed: The Lisa Frank Story” ไม่ได้มอบคำตอบที่ชัดเจนว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือผิด แต่อย่างน้อยมันทำให้เราเห็นว่าเบื้องหลังสีสันสดใสและลวดลายหรรษาอาจเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ความขัดแย้งในครอบครัว การเอารัดเอาเปรียบพนักงาน และการจัดการองค์กรที่ไม่ยั่งยืน
นี่คือเรื่องราวที่สะท้อนถึงปัญหามนุษย์อันสลับซับซ้อน: เมื่อชื่อเสียงและเงินตรามาบรรจบกับความปรารถนาส่วนตัว อัตลักษณ์ของศิลปินและผู้ร่วมสร้างสรรค์อาจถูกบิดเบือนเพื่อรักษาผลประโยชน์ เรื่องราวของลิซ่า แฟรงค์ไม่เพียงเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ประกอบการ แต่ยังเป็นบทเรียนแก่ผู้บริโภคให้ตั้งคำถามถึงเบื้องหลังสินค้าและภาพลักษณ์ที่เราเสพอยู่ในทุกวัน
- ประเภท: สารคดี
- วันที่ออกอากาศ: 5 ธันวาคม 2024
- ผู้กำกับ: อาเรียน่า ลาเพนเน่
- จำนวนตอน: 4 ตอน
- เรตติ้ง IMDb: 6.5/10
- ช่องทางการดู: Amazon Prime Video