รีวิวซีรีส์ฝรั่ง

[รีวิว] The Decameron | เดกาเมรอน (2024)

ในยุคที่โรคระบาดกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว การหลบหนีไปยังสถานที่ปลอดภัยดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกลุ่มคนที่แตกต่างกันทั้งชนชั้นและวิถีชีวิต ต้องมาอยู่ร่วมกันในสถานที่จำกัด? นี่คือแก่นเรื่องของซีรีส์ตลกร้ายเรื่องใหม่จาก Netflix ที่มีชื่อว่า “เดกาเมรอน” (The Decameron) ซึ่งจะพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายในยุคกลาง

Advertisement

เรื่องราวของ เดกาเมรอน เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1348 ท่ามกลางการระบาดของกาฬโรคที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย เหล่าขุนนางและคนรับใช้กลุ่มหนึ่งได้หลบหนีจากความโกลาหลในเมืองมาที่คฤหาสน์หรูกลางชนบทของอิตาลี ด้วยหวังว่าจะปลอดภัยจากโรคร้าย แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาคิดว่าจะเป็นที่หลบภัยกลับกลายเป็นสนามรบแห่งใหม่ เมื่อความเป็นอยู่แบบหรูหราและมารยาทอันงดงามค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอภาพของสังคมที่กำลังล่มสลาย ผ่านตัวละครที่มีความหลากหลายและซับซ้อน ทั้งขุนนางผู้หยิ่งยโส คนรับใช้ที่แอบซ่อนความทะเยอทะยาน นักบวชผู้ลุ่มหลงในกิเลส และชนชั้นกลางที่พยายามไต่เต้าสู่สังคมชั้นสูง ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นและการต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีกว่าถูกถ่ายทอดออกมาอย่างคมคายผ่านบทสนทนาที่แหลมคมและสถานการณ์ที่ชวนให้อึดอัดใจ แต่ก็ทำให้ผู้ชมอดหัวเราะไม่ได้

หนึ่งในจุดเด่นของ “เดกาเมรอน” คือการสร้างตัวละครที่มีมิติและน่าสนใจ แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นขุนนางสาวผู้ทะเยอทะยานที่พยายามรักษาสถานะของตน คนรับใช้หนุ่มที่แอบหลงรักเจ้านายตัวเอง หรือแม้แต่พ่อครัวที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น ตัวละครเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังดูละครเวทีที่มีชีวิต

การแสดงของนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Saoirse-Monica Jackson ที่รับบทเป็น Misia ซึ่งสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้อย่างลึกซึ้งและน่าติดตาม นอกจากนี้ยังมีนักแสดงคนอื่นๆ อย่าง Tony Hale, Zosia Mamet และ Amar Chadha-Patel ที่ต่างก็แสดงได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้กัน พวกเขาสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตัวละครออกมาได้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้ชมเข้าใจและรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

Advertisement

บทภาพยนตร์ของ “เดกาเมรอน” เต็มไปด้วยมุกตลกแบบแห้งๆ ที่สอดแทรกอยู่ในทุกฉาก บางครั้งอาจทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็เป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ และความตลกร้ายของสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม บางครั้งมุกตลกเหล่านี้อาจดูซ้ำซากเมื่อดูไปนานๆ ซึ่งอาจเป็นข้อเสียเล็กน้อยของซีรีส์เรื่องนี้

นอกจากความตลกแล้ว “เดกาเมรอน” ยังนำเสนอประเด็นทางสังคมที่น่าสนใจผ่านเรื่องราวของตัวละครแต่ละคน เช่น ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น การเหยียดเพศ และการแสวงหาอำนาจ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ยังคงมีอยู่ในสังคมปัจจุบัน การนำเสนอประเด็นเหล่านี้ผ่านมุมมองของคนในยุคกลางทำให้ผู้ชมได้เห็นว่าปัญหาบางอย่างยังคงดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน และยังคงต้องการการแก้ไขอยู่

ในแง่ของการถ่ายทำ “เดกาเมรอน” ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ภาพที่ปรากฏบนจอนั้นสวยงามและสมจริง ฉากและเครื่องแต่งกายถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคกลางจริงๆ นอกจากนี้ การใช้แสงและเงาในฉากต่างๆ ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่าค้นหา ซึ่งเข้ากับธีมของเรื่องได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนหนึ่งของ “เดกาเมรอน” อาจเป็นเรื่องของความยาวของแต่ละตอน ด้วยความยาวเฉลี่ยประมาณ 1 ชั่วโมงต่อตอน ทำให้บางครั้งเนื้อเรื่องอาจดูเยิ่นเย้อและซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงกลางของซีซั่น ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกเบื่อหน่ายได้ การตัดทอนความยาวของแต่ละตอนให้กระชับขึ้นอาจช่วยให้เรื่องราวมีความกระชับและน่าติดตามมากขึ้น

แม้จะมีข้อบกพร่องบางประการ แต่ “เดกาเมรอน” ก็ยังเป็นซีรีส์ที่น่าสนใจและคุ้มค่าแก่การรับชม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบซีรีส์ตลกร้ายที่มีการวิพากษ์วิจารณ์สังคม เรื่องราวที่นำเสนอนั้นทั้งสนุกสนานและให้ข้อคิดที่น่าสนใจ ทำให้ผู้ชมได้ทั้งความบันเทิงและมุมมองใหม่ๆ ต่อสังคมไปพร้อมๆ กัน

การที่ “เดกาเมรอน” สามารถสร้างความสมดุลระหว่างความตลกและความจริงจังได้อย่างลงตัว ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีเสน่ห์และน่าติดตาม แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคกลาง แต่ประเด็นที่นำเสนอก็ยังคงมีความร่วมสมัยและเกี่ยวข้องกับสังคมปัจจุบัน ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงกับตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ การที่ซีรีส์นำเสนอมุมมองของทั้งชนชั้นสูงและคนรับใช้ ทำให้เราได้เห็นภาพรวมของสังคมในยุคนั้นได้อย่างครบถ้วน เราจะได้เห็นทั้งความฟุ้งเฟ้อของชนชั้นสูง และความยากลำบากของคนธรรมดา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

อีกหนึ่งจุดเด่นของ “เดกาเมรอน” คือการสร้างบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกและเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น การผสมผสานระหว่างความตลกและความน่าอึดอัดนี้ทำให้ซีรีส์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากซีรีส์ตลกทั่วไป

การนำเสนอเรื่องราวในช่วงที่มีโรคระบาดรุนแรงอย่างกาฬโรคนั้น ยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของมนุษย์ในยามวิกฤต ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เราเพิ่งผ่านพ้นมา ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงและเข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้ดียิ่งขึ้น

ในแง่ของการพัฒนาตัวละคร “เดกาเมรอน” ทำได้อย่างน่าสนใจ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละครแต่ละคนตลอดทั้งซีรีส์ บางคนเริ่มต้นด้วยความเห็นแก่ตัวแต่ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ในขณะที่บางคนกลับแสดงด้านมืดของตัวเองออกมาเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก การพัฒนาตัวละครเหล่านี้ทำให้เรื่องราวมีความสมจริงและน่าติดตามมากขึ้น

ด้านเสียงประกอบและดนตรีในซีรีส์ก็สร้างบรรยากาศได้อย่างยอดเยี่ยม การใช้เพลงและเสียงที่สอดคล้องกับยุคสมัยช่วยเสริมให้ภาพที่เห็นบนจอมีความสมจริงมากขึ้น นอกจากนี้ การใช้เสียงเพื่อสร้างความตึงเครียดในบางฉากก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

แม้ว่า “เดกาเมรอน” จะเป็นซีรีส์ตลก แต่ก็ไม่ได้ละเลยการนำเสนอประเด็นทางสังคมที่สำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น บทบาทของสตรีในสังคม และอำนาจของศาสนา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นที่ยังคงมีความเกี่ยวข้องกับสังคมปัจจุบัน การนำเสนอประเด็นเหล่านี้ผ่านมุมมองของตัวละครที่หลากหลายทำให้ผู้ชมได้เห็นภาพรวมของสังคมในยุคนั้นได้อย่างครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม การที่ซีรีส์มีความยาวถึง 8 ตอน อาจทำให้บางคนรู้สึกว่าเรื่องราวดำเนินไปอย่างเชื่องช้าในบางช่วง โดยเฉพาะในช่วงกลางของซีซั่น ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมบางส่วนรู้สึกเบื่อหน่ายได้ การตัดทอนเนื้อหาบางส่วนออกหรือรวบรัดเรื่องราวให้กระชับขึ้นอาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้

นอกจากนี้ การใช้มุกตลกแบบแห้งๆ อย่างต่อเนื่องอาจทำให้บางคนรู้สึกว่าไม่สนุกเท่าที่ควร โดยเฉพาะผู้ชมที่คุ้นเคยกับซีรีส์ตลกแบบอเมริกันที่มักจะมีมุกตลกแบบตรงไปตรงมามากกว่า อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของซีรีส์ที่ทำให้มันแตกต่างจากซีรีส์ตลกทั่วไป

ในแง่ของการแสดง นักแสดงทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม แต่บางครั้งอาจรู้สึกว่าตัวละครบางตัวไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ ทำให้เรารู้สึกว่ายังมีอะไรที่น่าค้นหาเกี่ยวกับตัวละครเหล่านั้นอีกมาก ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาในซีซั่นต่อไปหากมีการสร้างต่อ

แม้จะมีข้อบกพร่องบางประการ แต่โดยรวมแล้ว “เดกาเมรอน” ก็ถือเป็นซีรีส์ที่น่าสนใจและคุ้มค่าแก่การรับชม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบซีรีส์ตลกร้ายที่มีการวิพากษ์วิจารณ์สังคม เรื่องราวที่นำเสนอนั้นทั้งสนุกสนานและให้ข้อคิดที่น่าสนใจ ทำให้ผู้ชมได้ทั้งความบันเทิงและมุมมองใหม่ๆ ต่อสังคมไปพร้อมๆ กัน

การที่ซีรีส์สามารถสร้างความสมดุลระหว่างความตลกและความจริงจังได้อย่างลงตัว ทำให้ “เดกาเมรอน” มีเสน่ห์และน่าติดตาม แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคกลาง แต่ประเด็นที่นำเสนอก็ยังคงมีความร่วมสมัยและเกี่ยวข้องกับสังคมปัจจุบัน ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงกับตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

สรุปแล้ว “เดกาเมรอน” เป็นซีรีส์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบซีรีส์ตลกร้ายที่มีความลึกซึ้งและให้ข้อคิด แม้จะมีข้อบกพร่องบางประการ แต่ความสนุกสนานและประเด็นที่น่าสนใจที่นำเสนอก็ทำให้ซีรีส์นี้คุ้มค่าแก่การรับชม ผู้ชมจะได้ทั้งความบันเทิงและมุมมองใหม่ๆ ต่อสังคมและพฤติกรรมของมนุษย์ในยามวิกฤต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตในปัจจุบันได้อย่างแน่นอน

  • ประเภท: ตลกเบาสมอง, ดราม่า, ย้อนยุค
  • วันที่เข้าฉาย: 25 กรกฎาคม 2024
  • นักแสดงนำ: Tony Hale, Zosia Mamet, Amar Chadha-Patel, Leila Farzad
  • ผู้สร้าง: Kathleen Jordan
  • จำนวนตอน: 8 ตอน
  • IMDb Rating: 5.6/10
  • ช่องทางการรับชม: Netflix

Advertisement

Advertisement

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button