ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาที่หลายคนต้องเผชิญกับความยากลำบาก การได้รับชมหนังเรื่อง “Wallace & Gromit: Vengeance Most Fowl” ให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับได้นั่งห่มผ้าห่มอยู่ข้างเตาผิงในวันที่หิมะตก มันเป็นความสบายใจที่ได้เห็นผลงานที่สร้างสรรค์และไม่ซับซ้อนเช่นนี้ แม้ว่าเราอาจจะวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ ได้ลึกซึ้ง แต่สิ่งที่ผมอยากจะสื่อมากที่สุดคือเสน่ห์อันเรียบง่ายของหนังเรื่องนี้ ที่เข้ามาสร้างความบันเทิง แล้วจบลงอย่างกระชับ คำถามเดียวที่เหลืออยู่เมื่อจบเรื่องคือ เมื่อไหร่จะได้ดูอีกครั้ง
หากคุณกังวลหลังจากความผิดหวังจาก “Chicken Run: Dawn of the Nugget” ไม่ต้องกลัวไป เพราะช่วงแรกของ “Vengeance Most Fowl” จะทำให้คุณรู้สึกคลายกังวลทันที ทุกอย่างดูคุ้นเคยเมื่อ Nick Park ผู้กำกับชื่อดังพาเรากลับเข้าสู่โลกของวอลเลซนักประดิษฐ์และโกรมิตสุนัขคู่ใจของเขา ราวกับว่าเวลาไม่ได้ผ่านไปเกือบ 20 ปีนับตั้งแต่ “Wallace & Gromit: The Curse of the Were-Rabbit” เลย แม้ว่า Peter Sallis จะจากไปแล้ว (ขอให้เขาสงบสุข) แต่ Ben Whitehead ก็ก้าวเข้ามารับบทวอลเลซได้อย่างกลมกลืน อย่างไรก็ตาม ตัวละครที่ขโมยซีนได้มากที่สุดในผลงานของ Aardman มักจะเป็นตัวละครที่ไม่พูด นั่นคือโกรมิตผู้น่ารักและการกลับมาของ Feathers McGraw ตัวร้ายในตำนาน
รีวิวและเรื่องย่อ Wallace & Gromit: Vengeance Most Fowl (แค้นติดปีก)
ใช่แล้ว ศัตรูจากเรื่อง “The Wrong Trousers” ที่เคยคว้ารางวัลออสการ์ได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่เงียบขรึมเช่นเคย จ้องมองออกมาจากกรงขังในสวนสัตว์และวางแผนแก้แค้น ในขณะเดียวกัน ที่บ้าน วอลเลซดูเหมือนจะพึ่งพาโกรมิตมากขึ้นกว่าเดิม แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาประดิษฐ์ “สมาร์ทโนม” ชื่อ Norbot (พากย์เสียงโดย Reece Shearsmith) ที่สามารถช่วยโกรมิตในสวนและทำงานบ้านอื่นๆ ได้ (แต่ขาดความพิเศษที่มาจากมนุษย์หรือสุนัขอย่างโกรมิต) เมื่อ Feathers แฮ็กเข้าระบบของ Norbot มันนำไปสู่กองทัพโนมหุ่นยนต์ที่โกรธแค้นและการต่อสู้ระหว่างวอลเลซและโกรมิตแบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีแห่งอนาคต
“Vengeance Most Fowl” สร้างขึ้นบนพื้นฐานของตลกยุคหนังเงียบ มีโครงสร้างที่สวยงาม จังหวะการเล่าเรื่องและอารมณ์ขันที่ลงตัวสำหรับผู้ชมทุกวัย เด็กๆ อาจจะไม่เข้าใจการอ้างอิงถึง James Bond แต่พวกเขาจะต้องทึ่งกับความชาญฉลาดของฉากสต็อปโมชั่น โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ที่เต็มไปด้วยแอ็คชั่นที่สู้กับผลงานของ Tom Cruise ในยุคนี้ได้สบาย มันเป็นเรื่องที่น่าชื่นใจมากที่ได้เห็นหนังที่สามารถเข้าถึงผู้ชมได้กว้างขวางและทำออกมาได้ดีเช่นนี้ ทั้งการพากย์เสียง มุมกล้อง ความคิดสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่อง และจังหวะที่กระชับใน 79 นาที
ในยุคที่หนังการ์ตูนหลายเรื่องมุ่งเน้นแต่เนื้อหาโดยไม่สนใจความคิดสร้างสรรค์ ผมรู้สึกอุ่นใจอีกครั้งที่ได้เห็นทีมงานที่มีความสามารถของ Aardman ทำในสิ่งที่พวกเขาถนัดได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีความพยายามที่จะเอาใจใครเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนทำเพื่อเงินเหมือนภาคต่อแอนิเมชั่นสมัยใหม่หลายๆ เรื่อง
ในท้ายที่สุด “Wallace & Gromit: Vengeance Most Fowl” ให้ความรู้สึกเหมือนได้พบเจอเพื่อนเก่า หรือนักดนตรีที่คิดว่าเกษียณไปแล้วกลับมาพร้อมอัลบั้มคลาสสิกอีกครั้ง มันอาจจะคุ้นเคย แต่หลังจากที่ปี 2024 เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับหลายคน ความคุ้นเคยนี้กลับให้ความรู้สึกอุ่นใจ ถ้าวอลเลซและโกรมิตยังสามารถดำเนินต่อไปได้ บางทีพวกเราทุกคนก็อาจจะทำได้เช่นกัน
“Wallace & Gromit: Vengeance Most Fowl” เป็นหนังที่พิสูจน์ให้เห็นว่าความคลาสสิกไม่เคยตกยุค การกลับมาของคู่หูสุดฮานี้ไม่เพียงแต่สร้างความสนุกสนานให้กับแฟนๆ รุ่นเก่า แต่ยังสามารถดึงดูดผู้ชมรุ่นใหม่ได้อย่างง่ายดาย ด้วยเสน่ห์ของงานสต็อปโมชั่นที่ประณีต เรื่องราวที่สนุกสนาน และการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นผลงานที่ไม่ควรพลาดสำหรับทุกคนในครอบครัว
คุณล่ะ คิดอย่างไรกับการกลับมาของวอลเลซและโกรมิต? พวกเขายังคงมีเสน่ห์เหมือนเดิมหรือไม่? แชร์ความคิดเห็นของคุณในคอมเมนต์ด้านล่างนี้ และอย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ ที่เป็นแฟนหนังแอนิเมชั่นด้วยนะ!
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: วอลเลซ แอนด์ โกรมิท: แค้นนี้ต้องชำระ
- ประเภท: แอนิเมชัน, คอมเมดี้, ผจญภัย
- วันที่ออกอากาศ: 3 มกราคม 2025
- นักแสดงนำ: Ben Whitehead (Wallace), Peter Kay (Chief Inspector Mackintosh), Reece Shearsmith (Norbot), Lauren Patel (PC Mukherjee)
- ผู้กำกับ: Nick Park และ Merlin Crossingham
- จำนวนตอน/ความยาว: 79 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 8.1/10
- ช่องทางการดู: Netflix
[รีวิว] Wallace & Gromit: Vengeance Most Fowl
บทหนัง - 9.5
การสร้างตัวละคร - 9.8
เทคนิคสต็อปโมชั่น - 9.7
อารมณ์ขัน - 9.6
ความบันเทิง - 9.4
ความคุ้มค่าในการรับชม - 9.7
9.6
Wallace & Gromit: Vengeance Most Fowl (แค้นติดปีก) ผลงานแอนิเมชั่นสต็อปโมชั่นสุดน่ารักที่จะทำให้คุณอมยิ้มไปตลอดทั้งเรื่อง