Microsoft ได้ก้าวเข้าสู่การพัฒนาระบบการค้นหาที่ใช้ AI อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Bing Generative Search ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโต้กับระบบการค้นหาที่ใช้ AI ของ Google อย่าง Google AI Overviews ฟีเจอร์นี้เริ่มเปิดให้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาแล้ว โดย Bing Generative Search ใช้โมเดล AI ที่ผสมผสานกันเพื่อรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งบนอินเทอร์เน็ต และสร้างสรุปข้อมูลที่ตอบคำถามของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ
แม้ว่าระบบนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่ก็เป็นที่คาดการณ์ว่าจะช่วยให้การค้นหาข้อมูลมีความง่ายและรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับการค้นหาที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำถามว่า “Spaghetti Western คืออะไร?” ระบบจะสร้างสรุปประวัติศาสตร์และตัวอย่างของแนวหนังนี้ขึ้นมา พร้อมแสดงลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถขยายการค้นหาได้ตามต้องการ
การทำงานของ Bing Generative Search
ระบบ Bing Generative Search ไม่ได้หยุดเพียงแค่ให้คำตอบที่ตรงไปตรงมา แต่ยังพัฒนาต่อจากฟีเจอร์การแชท AI ที่เปิดตัวไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ทำให้สามารถเข้าใจความตั้งใจของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น Microsoft ระบุว่าฟีเจอร์นี้ไม่เพียงแค่ค้นหาคำตอบให้กับผู้ใช้ แต่ยังสแกนและวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลนับล้านในทันทีเพื่อให้ได้คำตอบที่แม่นยำ
ในการใช้งาน ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะเรียกใช้ Bing Generative Search ได้โดยง่ายเพียงแค่พิมพ์คำว่า “Bing Generative Search” ลงไปในช่องค้นหา หรือ Microsoft ก็ได้เพิ่มตัวเลือกให้สามารถเรียกใช้ฟีเจอร์นี้ในคำถามที่มีลักษณะเป็นการค้นหาข้อมูลเชิงลึกได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งระบบจะทำการสรุปข้อมูลและให้คำตอบที่เป็นเนื้อหาเจาะลึก พร้อมแหล่งข้อมูลอ้างอิง
การเปรียบเทียบกับ Google AI Overviews
ฟีเจอร์นี้มีลักษณะการทำงานคล้ายกับ Google AI Overviews ที่ใช้ AI ในการสรุปข้อมูล แต่ Microsoft ได้เพิ่มความสามารถในการปรับเนื้อหาตอบสนองต่อคำค้นหาที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยังคงมีตัวเลือกที่จะยกเลิกการใช้ฟีเจอร์ AI และดูผลลัพธ์จากการค้นหาแบบดั้งเดิมได้หากต้องการ
Google เองก็เจอปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI ในการสร้างสรุปข้อมูล โดย AI ของ Google เคยแนะนำวิธีการทำอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การใส่กาวบนพิซซ่า หรือฟีเจอร์ของ Arc Search ที่แนะนำว่านิ้วเท้าที่ถูกตัดสามารถงอกกลับมาใหม่ได้ แม้ว่าฟีเจอร์เหล่านี้จะเป็นการทดสอบระบบ แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำและความปลอดภัยในการใช้ AI ในการค้นหาข้อมูล
ผลกระทบต่อผู้เผยแพร่เนื้อหา
หนึ่งในข้อกังวลใหญ่ของการใช้ AI ในการสรุปข้อมูล คือ ความเสี่ยงที่อาจทำให้การเข้าชมเว็บไซต์ของผู้เผยแพร่เนื้อหาลดลง เนื่องจากผู้ใช้อาจไม่คลิกเข้าไปดูบทความหรือเนื้อหาเต็มจากเว็บไซต์ต่าง ๆ แต่จะพอใจกับข้อมูลที่สรุปมาแล้วโดย AI มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า AI ของ Google อาจส่งผลกระทบต่อการเข้าชมเว็บไซต์ของผู้เผยแพร่ถึง 25% เนื่องจากลิงก์ของบทความถูกลดความสำคัญลงในหน้าผลลัพธ์การค้นหา
Microsoft ได้แสดงความห่วงใยเรื่องนี้และให้สัญญาว่าจะตรวจสอบอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับผลกระทบของฟีเจอร์นี้ต่อผู้เผยแพร่เนื้อหา ในการเปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม บริษัทได้แสดงข้อมูลเบื้องต้นว่าฟีเจอร์ Bing Generative Search ยังคงรักษาจำนวนการคลิกเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม แต่ในวันนี้ Microsoft ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิจัยนี้
ความท้าทายต่อส่วนแบ่งการตลาด
ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงใน Bing จะมีขนาดใหญ่เพียงใดก็ตาม ก็ยังถือว่ามีผลกระทบที่น้อยกว่า Google อยู่มาก เนื่องจาก Google มีส่วนแบ่งการตลาดในการค้นหาทั่วโลกที่มากถึง 81.95% เมื่อเดือนกันยายน 2024 ในขณะที่ Bing มีส่วนแบ่งเพียง 10.51% เท่านั้น
สำหรับ Microsoft การแข่งขันในตลาดนี้ยังคงเป็นเรื่องยากลำบาก แต่บริษัทก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการค้นหาให้กับผู้ใช้ โดยเฉพาะฟีเจอร์ที่ใช้ AI เป็นแกนหลัก ซึ่งนอกจากจะช่วยให้การค้นหามีความแม่นยำและรวดเร็วแล้ว ยังสามารถเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ได้ดีขึ้น
ทิ้งท้าย
Bing Generative Search เป็นความพยายามของ Microsoft ในการก้าวเข้าสู่โลกของการค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยพยายามสร้างฟีเจอร์ที่สามารถเข้าใจและตอบโจทย์การค้นหาของผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้งและแม่นยำ แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงจาก Google แต่ Bing ยังคงมุ่งพัฒนาฟีเจอร์เพื่อเพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้ใช้ ระบบนี้ไม่เพียงแค่สรุปข้อมูลจากการค้นหาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมต่อผู้ใช้กับเนื้อหาที่มีคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ