วันจูบสากล (World Kissing Day) ตรงกับวันที่ 6 กรกฎาคม ของทุกปี ความสำคัญของวันนี้ เริ่มต้นในสหราชอาณาจักร ก่อนจะขยายความรู้จักไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
วันจูบสากล
วันจูบสากล (World Kissing Day) องค์การสหประชาชาติ หรือ UN ยังกำหนดให้เป็นวันจูบสากล (International Kissing Day) มาตั้งแต่ปี 1991 โดยมีที่มาจากวันจูบแห่งชาติในสหราชอาณาจักร ก่อนที่จะได้รับความนิยมไปทั่วยุโรป และกลายเป็นวันจูบสากลในที่สุด
การจูบ
การจูบ คือการนำเอาริมฝีปากสัมผัสกับร่างกายของอีกคนหนึ่ง การแสดงการจูบในแต่ละวัฒนธรรมมีความหมายที่แตกต่างกันไป การจูบอาจเพื่อแสดงความรักหรือความใคร่ ความนับถือ การทักทายและแสดงความโชคดี การจูบในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกโดยมากจะเป็นการแสดงความรัก ในบางวัฒนธรรมการจูบเป็นการทักทาย โดยเฉพาะประเทศในยุโรป แต่ในบางครั้งการจูบก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดประจำวัน อย่างเช่นชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย ชาวตาฮิติ หรือหลายเผ่าในแอฟริกา
การศึกษาเรื่องการจูบเริ่มในต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ชื่อ เออร์เนสต์ ครอว์ลีย์ เขียนไว้ว่า
“การจูบเป็น การแสดงอเนกประสงค์ในชีวิตสังคมของความศิวิไลซ์ชั้นสูงกว่าของความรู้สึก ความใคร่ ความรัก (เพศ ความเป็นพ่อเป็นแม่ และความเป็นลูก) และความเคารพ”
ครอว์เลย์ยังกล่าวว่า การสัมผัส
“เป็นความรู้สึกของความเป็นแม่ และการจูบเป็นการสัมผัสและรูปแบบพิเศษของการติดต่อกันที่ใกล้ชิด”
อย่างไรก็ตามเขากล่าวว่า การจูบเป็นเรื่องแปลกใน “กลุ่มผู้ไม่เจริญกว่า” แต่กระนั้นในบรรดาผู้มีความศิวิไลซ์สูงกว่า ครวว์ลีย์เห็นความแตกต่างว่า การจูบในอียิปต์โบราณไม่เป็นที่รู้จัก แต่ก็แสดงให้เห็นดีในกรีกยุคต้น, อัสซีเรีย และอินเดีย
การจูบกันของความรักนั้น นักมานุษยวิทยาในศตวรรษที่ 19 ที่ชื่อเซแซร์ ลอมโบรโซ ระบุมีต้นกำเนิดและพัฒนามาจากการจูบของมารดา ครอว์เลย์สนับสนุนมุมมองนี้โดยกล่าวว่า ในสังคมญี่ปุ่น ก่อนศตวรรษที่ 20 “เป็นสิ่งที่ไม่ตระหนักถึง ยกเว้นเพียงมารดาจูบทารกของเธอ” ขณะที่ในแอฟริกาและคนป่าเถื่อนไร้ศาสนาภรรยาหรือคนรักกันต่างก็ไม่จูบกัน อย่างไรก็ตามในวัฒนธรรมกรีกและละติน การจูบกันถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อพ่อแม่จูบลูกของเขาหรือคนรัก หรือคนแต่งงานกันแล้วต่างก็จูบกัน การจูบในสังคมตะวันตกยังมีใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาหลายอย่าง เพื่อแสดงความศักดิ์ิสิทธิ์
การจูบช่วยอะไร
จูบช่วยลดความเครียดและทำให้เรามีความสุข
ผลการวิจัยของ Western Journal of Communication พบว่าการแสดงความรักอย่างการจูบนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการลดระดับฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มระดับฮอร์โมนความสงบ และหากคุณจูบกัน 20 วินาทีหรือมากกว่านั้น สมองจะหลั่งสารเคมีที่ช่วยทำให้สงบและลดระดับความเครียด
จูบลดความดันโลหิตทำให้หัวใจแข็งแรง
จูบช่วยขยายหลอดเลือด จึงช่วยลดความดันโลหิตได้ ซึ่งระหว่างการจูบจะมีสื่อประสาทที่ชื่อ เอพิเนฟรีน (Epinephrine) เดินทางเข้าไปในเลือด ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความดันโลหิตแล้ว ยังทำให้ระดับ LDL (ไขมันไม่ดี) และคลอเรสเตอรอล (Cholesterol) ลดลงได้อีกด้วย
จูบช่วยป้องกันฟันผุ
จูบจะไปช่วยกระตุ้นให้มีการผลิตน้ำลาย ซึ่งจะไปช่วยชะล้างคราบพลัคและคราบต่าง ๆ จึงช่วยป้องกันฟันผุได้อีกทางหนึ่ง
จูบช่วยให้รู้สึกตื่นตัว
จูบจะไปช่วยกระตุ้นการหลั่งสารอดรีนาลีน (Adrenaline) และ อะดรีนาลีน (Adrenaline) ซึ่งนอกจากจะช่วยให้รู้สึกตื่นเต้นเนื่องจากหัวใจเต้นเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยให้คุณรู้สึกตื่นตัว
จูบช่วยเบิร์นแคลอรี่
การจูบในเวลา 1 นาที จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ 2-3 แคลอรี่ แต่ถ้าคุณจูบกันอย่างดูดดื่มเป็นพิเศษจะสามารถช่วยเผาผลาญได้ถึง 6 แคลลอรี่ และยังไปช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญหรือเมตาบอลิซึ่ม (Metabolism)
จูบบอกความหมายภายในใจ
จูบที่หน้าผาก
การจูบที่หน้าผาก หมายถึง การแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่และทะนุถนอม ต้องการแสดงออกถึงความรักและเอ็นดูที่เขามีต่อคุณ โดยคนที่จูบที่หน้าผากบ่อย ๆ นั้นจะเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง แต่ในขณะเดียวกันก็รักสันโดษ ให้อภัยง่าย ๆ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
จูบริมฝีปาก
การจูบที่ปากเป็นการแสดงความรักที่ลึกซึ้ง เป็นจูบที่โรแมนติก ถวิลหา แสดงออกอย่างเปิดเผย ต้องการที่จะมอบความรัก ความจริงใจตรงไปตรงมา ความซื่อสัตย์ที่อัดแน่นให้คุณได้รับรู้
จูบที่หน้าผาก
การที่จูบหน้าผากหรือผมของคุณนั้น หมายถึง เขากำลังคิดถึงความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับคุณ ช่วงเวลาแห่งความโรแมนติคต่าง ๆ และดีใจที่มีคุณอยู่ ปกติแล้วคนที่ชอบจุ๊บที่หน้าผากบ่อย ๆ จะเป็นคนเข้มแข็งแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน
จูบแก้ม
ชายหนุ่มที่จูบพวงแก้มของคุณกำลังบอกความนัยว่า “ผมชอบคุณนะ” รู้สึกดีและอยากพัฒนาความสัมพันธ์ แต่ในขณะเดียวกันก้อสามารถตีความหมายได้อีกแบบ คือ คิดแบบเพื่อนสนิท ซึ่งชายหนุ่มลักษณะนี้ จะเป็นคนประเภทที่เฟรนด์ลี่คบหาเพื่อนเยอะ เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเพื่อนฝูง
จูบที่หลังมือ
การจูบที่หลังมือ คือการที่เขาเคารพ หลงใหล น่าค้นหา และให้เกียรติคุณเป็นอย่างมาก ยกย่องและนับถือคุณ พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณเสมอ
จูบไซ้ซอกคอ
การจูบแบบนี้เขากำลังต้องการเป็นเจ้าของคุณ และเต็มไปด้วยใจปรารถนาจนอยากปลุกเร้าให้คุณรู้สึกตอบสนองในแบบเดียวกัน แต่ถึงจะต้องการคุณมากขนาดนั้นก้อไม่ได้หมายความว่าเขาฝันจะมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับคุณเสมอไปหลอกนะ เขาอาจจะต้องการแค่ความสัมพันธ์ชั่วคราวหรือต้องการให้คุณหลงรักเขาก้อเป็นได้
จูบปาก
การจูบปากนั้นหมายถึงหัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อคุณ ต้องการที่จะให้คุณรุ้ว่าเขารักคุณมากและต้องการคุณอย่างยิ่ง
จูบที่มือ
จูบแบบสุดท้ายนี้เป็นจูบของเจนเทิลแมน สุภาพบุรุษที่มีลักษณะนิสัยระมัดระวังให้เกียรติผู้หญิง ไม่ทำตัวรุ่มร่ามให้ฝ่ายหญิงสาวรำคาญใจ เป็นจูบที่บ่งบอกว่าเขาให้ความสนใจในตัวคุณ อยากรู้จักอยากค้นหา หรืออีกนัยก้อเป็นเพียงการทักทายตามมารยาทเท่านั้น แต่ช้าก่อน..ยังไม่หมดเท่านี้ ชายหนุ่มนักรักจอมเจ้าชู้ก้อมักจะใช้วิธีการแบบนี้โลดแล่นตามใจปรารถนาเช่นกัน โดยการแสร้งทำตัวเป็นเจนเทิลแมน ให้สาว ๆ น้อยใหญ่ตายใจไปกับท่วงท่าที่แสนสุภาพอ่อนโยนด้วยการบรรจงจูบเบา ๆ หลังฝ่ามืออย่างอ้อยอิ่ง เรียกได้ว่าเป็นท่าไม้ตายให้สาว ๆ ใจละลายเลยทีเดียว
จูบที่หลังมือ
การจูบที่หลังมือ คือการที่เขาเคารพ หลงใหล น่าค้นหา และให้เกียรติคุณเป็นอย่างมาก ยกย่องและนับถือคุณ พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณเสมอ
จูบใบหู
ชายที่จูบใบหูของคุณกำลังสื่อความหลงใหล เย้ายวนและแฝงความต้องการอยู่ภายใน และหากเขาขบใบหูของคุณเล่น เขากำลังหมั่นเขี้ยวและหยอกเย้าคุณด้วยความเสน่หา เป็นคนประเภทที่แสดงออกทางอารมณ์ค่อนข้างชัดเจน แต่ก้อเป็นคนที่น่าคบหาเพราะเขามักจะคิดถึงคนอื่นอยู่เสมอ