
เคยได้ยินคำว่า “สมองไหล” กันไหม? หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Brain Drain” น่ะ มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่เราคิดเลยนะ เพราะมันกำลังเกิดขึ้นรอบตัวเรา ในชุมชนของเรา และในประเทศของเราเองด้วย ถ้าจะให้พูดง่าย ๆ มันคือการที่คนเก่ง ๆ มีความรู้ความสามารถสูง ๆ หนีออกจากที่หนึ่งไปอยู่อีกที่หนึ่ง โดยเฉพาะจากประเทศของเราไปต่างประเทศ แล้วมันส่งผลอะไรบ้างล่ะ? ทำไมเราต้องสนใจ? วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังแบบชัด ๆ รับรองว่าเข้าใจง่าย
ลองนึกภาพดูสิ คนที่จบปริญญาโท ปริญญาเอก หรือคนที่เก่ง ๆ ในวงการเทคโนโลยี แพทย์ วิศวกร อะไรแบบนี้ เขาใช้เวลาเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาตัวเองในบ้านเรามานาน แต่สุดท้ายกลับเลือกไปทำงานหรือใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ แถมบางคนไม่กลับมาอีกเลยด้วยซ้ำ มันเหมือนกับว่าเราลงทุนปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน แต่พอถึงเวลาจะเก็บผลไม้ กลับมีคนอื่นมาเด็ดไปกินซะงั้น! ปัญหานี้มันใหญ่กว่าที่เห็นนะ เพราะมันกระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม และอนาคตของเราทุกคนเลย แล้วสมองไหลคืออะไรกันแน่? ทำไมมันถึงเกิดขึ้น? มาคุยกันต่อดีกว่า
สารบัญ
สมองไหล (Brain Drain) คืออะไร?

เคยสงสัยไหมว่าทำไมคำว่า “สมองไหล” ถึงฟังดูน่ากลัวนิด ๆ เหมือนมีอะไรไหลออกไปจริง ๆ? ถ้าจะอธิบายแบบง่าย ๆ สมองไหลคือการที่คนที่มีความรู้ ทักษะ หรือความสามารถสูง (ที่เราเรียกกันว่า “ทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูง”) อพยพย้ายถิ่นฐานหรือออกจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นการย้ายจากประเทศกำลังพัฒนาไปยังประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น จากไทยไปอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่น มันไม่ใช่แค่การย้ายถิ่นธรรมดา ๆ นะ แต่มันคือการสูญเสีย “สมอง” หรือคนที่เป็นกำลังสำคัญของสังคมเรา
สมัยก่อน คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากยุโรปย้ายไปทำงานในสหรัฐอเมริกาเยอะมาก แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นปัญหาทั่วโลกไปแล้ว โดยเฉพาะในประเทศอย่างไทยเราที่กำลังพัฒนา และอยากจะก้าวไปข้างหน้าให้ทันโลก ปัญหาคือคนเก่ง ๆ ที่เราต้องการให้มาช่วยพัฒนาประเทศ กลับเลือกไปใช้ความสามารถของเขาที่อื่น แทนที่จะอยู่ที่นี่ แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ?
ถ้าจะให้เล่ามันเหมือนกับว่าเรามีเพื่อนเก่ง ๆ ในกลุ่ม แต่เพื่อนคนนั้นเลือกไปอยู่กับกลุ่มอื่นที่ให้อะไรดีกว่า เช่น เงินเดือนสูงกว่า โอกาสก้าวหน้าเยอะกว่า หรือชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายกว่า สุดท้ายกลุ่มเราก็ขาดคนเก่งไป แล้วกลุ่มนั้นก็ยิ่งเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเราก็ต้องลำบากหาคนใหม่มาแทน ซึ่งบางทีก็หายากมาก ๆ
จริง ๆ แล้ว สมองไหลไม่ได้เกิดแค่กับการย้ายไปต่างประเทศเท่านั้นนะ บางครั้งมันเกิดขึ้นในประเทศด้วย เช่น คนเก่งจากต่างจังหวัดย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ หรือจากบริษัทหนึ่งไปอีกบริษัทหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า แต่ที่เราจะโฟกัสกันวันนี้คือสมองไหลในระดับระหว่างประเทศ เพราะมันส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศเราแบบที่เราไม่อาจมองข้ามได้เลย
สาเหตุที่ทำให้เกิดสมองไหลในประเทศไทย
เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนเก่ง ๆ ถึงไม่อยากอยู่ไทยต่อ? ถ้าเราคุยกันตรง ๆ เลยนะ มันมีหลายสาเหตุมากที่ผลักดันให้เกิดสมองไหลในบ้านเรา อย่างแรกเลยคือเรื่อง “โอกาส” ค่ะ ลองนึกถึงคนที่เรียนจบด้านเทคโนโลยี หรือวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยดี ๆ ในไทย พอเรียนจบ เขาก็อยากทำงานที่ได้ใช้ความรู้เต็มที่ ได้เงินดี และมีโอกาสเติบโต แต่บางทีงานในไทยมันจำกัด โอกาสน้อย หรือเงินเดือนไม่สมกับความสามารถที่เขามี พอไปดูงานในต่างประเทศ อย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น หรืออเมริกา มันเหมือนเปิดโลกใหม่เลย เงินดีกว่า สวัสดิการเพียบ แถมยังมีโอกาสได้ทำงานกับบริษัทระดับโลกอีก
อีกเรื่องที่สำคัญคือ “คุณภาพชีวิต” ลองนึกดูสิ ถ้าเธอทำงานหนักแต่ต้องเจอรถติดทุกวัน อากาศก็ไม่ดี ค่าครองชีพสูง แต่รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย มันก็เหนื่อยใจใช่ไหม? ในขณะที่ต่างประเทศบางที่ เขามีระบบขนส่งดี สภาพแวดล้อมน่าอยู่ สวัสดิการครบครัน เช่น ประกันสุขภาพฟรี หรือวันหยุดเยอะกว่า มันก็ไม่แปลกที่คนจะอยากย้ายไป
แล้วยังมีเรื่อง “การสนับสนุน” ด้วยนะ ในไทยบางครั้งการวิจัยหรือนวัตกรรมมันไม่ได้ถูกสนับสนุนเท่าที่ควร อย่างเช่น นักวิจัยที่อยากพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่ไม่มีงบประมาณ หรือไม่มีเครื่องมือทันสมัยให้ใช้ สุดท้ายเขาก็ต้องไปหาที่ที่พร้อมสนับสนุนเขา ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือต่างประเทศนั่นแหละ
เรื่องการเมืองและความมั่นคงก็มีส่วนนะ เคยรู้สึกไหมว่าบางช่วงบ้านเรามันวุ่นวาย ไม่แน่นอน มันทำให้คนที่อยากวางแผนชีวิตระยะยาวรู้สึกไม่มั่นใจ เขาก็เลยมองหาที่ที่มั่นคงกว่า แล้วยิ่งถ้ามีครอบครัว มีลูก เขาก็อยากให้ลูกได้เรียนในระบบการศึกษาที่ดีกว่า ซึ่งไทยเรายังตามหลังหลายประเทศอยู่
สุดท้ายเลยคือ “แรงดึงดูดจากต่างประเทศ” เขามีโครงการดึงดูดคนเก่งเยอะมาก เช่น วีซ่าพิเศษสำหรับคนที่มีทักษะสูง หรือเงินสนับสนุนให้ย้ายไปทำงาน อย่างใน บทความจาก BBC เกี่ยวกับสมองไหล เขาก็เคยพูดถึงว่า ประเทศพัฒนาแล้วมักจะมีนโยบายดึงคนเก่งจากที่อื่นไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจเขา ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้สมองไหลจากไทยหนักขึ้นไปอีก
ผลกระทบของสมองไหลต่อประเทศไทย
ลองนึกภาพตามนะ ถ้าคนเก่ง ๆ ในบ้านเราค่อย ๆ หายไป มันจะเกิดอะไรขึ้น? ผลกระทบของสมองไหลนี่มันหนักหนาจริง ๆ อย่างแรกเลยคือ “เศรษฐกิจ” ค่ะ ลองคิดถึงหมอเก่ง ๆ ที่จบจากโรงเรียนแพทย์ชั้นนำของไทย แต่ไปทำงานที่อเมริกา หรือวิศวกรที่ไปพัฒนาเทคโนโลยีให้บริษัทใหญ่ ๆ ในญี่ปุ่น ความรู้และทักษะของเขาควรจะมาช่วยพัฒนาประเทศเรา แต่กลับไปช่วยที่อื่น สุดท้ายเราก็ขาดคนที่จะมาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ทำให้เราเติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น
แล้วยังมีเรื่อง “สังคม” ด้วยนะ ถ้าคนที่มีการศึกษาดี ๆ ย้ายออกไปเยอะ กลุ่มที่เหลืออยู่ก็อาจจะเป็นคนที่มีทักษะน้อยกว่า มันทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมสูงขึ้น เพราะคนที่เก่งและมีโอกาสมักจะไปอยู่ในที่ที่ดีกว่า ส่วนคนที่อยู่ต่อก็ต้องดิ้นรนมากขึ้น แถมบางทีมันยังทำให้เกิดการขาดแคลนบุคลากรในสาขาสำคัญ เช่น การแพทย์ หรือการศึกษา ซึ่งเราต้องการคนเก่ง ๆ มาช่วยพัฒนาตรงนี้มาก
ที่สำคัญคือ “การลงทุนในอนาคต” รัฐบาลเราลงเงินไปเยอะมากในการศึกษา อย่างเช่น ให้ทุนเรียนฟรี หรือสนับสนุนการวิจัย แต่ถ้าคนที่ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วไม่กลับมา มันเหมือนเราเสียเงินไปฟรี ๆ เลยนะ เคยเห็นไหม บางคนได้ทุนรัฐบาลไปเรียนปริญญาเอกที่อังกฤษหรืออเมริกา แต่สุดท้ายเลือกอยู่ที่นั่นต่อ เพราะงานดีกว่า หรือชีวิตสะดวกกว่า มันน่าเสียดายจริง ๆ
อีกด้านหนึ่ง สมองไหลยังทำให้ “ภาพลักษณ์ของประเทศ” เสียไปด้วย ถ้าต่างชาติเห็นว่าคนเก่งของไทยย้ายออกไปเยอะ เขาอาจจะมองว่าไทยไม่น่าลงทุน หรือไม่มีความสามารถพอจะแข่งขันในระดับโลกได้ ซึ่งมันยิ่งทำให้เราเสียโอกาสไปอีก
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียอย่างเดียวนะ รู้ไหมว่าบางครั้งคนที่ย้ายไปต่างประเทศ เขาก็ส่งเงินกลับมาช่วยครอบครัว หรือบางคนกลับมาพร้อมกับประสบการณ์และความรู้ใหม่ ๆ ที่เอามาพัฒนาบ้านเราได้ แต่น่าเสียดายที่คนกลุ่มนี้มีน้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่จากไปแล้วไม่กลับ
เราจะแก้ปัญหาสมองไหลได้ยังไง?
ถึงจุดนี้ อาจจะเริ่มรู้สึกว่าสมองไหลนี่มันน่ากังวลจริง ๆ แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ? วิธีแก้ปัญหานี้มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่างแรกเลยคือ “สร้างโอกาสในประเทศ” รัฐบาลและเอกชนต้องร่วมมือกันสร้างงานที่ดึงดูดคนเก่ง ๆ เช่น เงินเดือนดี สวัสดิการครบ หรือให้โอกาสทำงานในโครงการใหญ่ ๆ ที่ท้าทายความสามารถ ถ้าคนเก่งรู้สึกว่าอยู่ไทยแล้วมีอนาคต เขาก็อาจจะไม่ย้ายไปไหน
ต่อมาคือ “พัฒนาคุณภาพชีวิต” ลองนึกดูสิ ถ้าเมืองไทยเรารถไม่ติด อากาศดี มีสวัสดิการครบครันเหมือนต่างประเทศ คนจะอยากย้ายไปไหนล่ะ? มันอาจจะต้องใช้เวลา แต่ถ้าเราลงทุนพัฒนาตรงนี้จริงจัง มันจะช่วยรั้งคนเก่งไว้ได้เยอะเลย
แล้วยังมีเรื่อง “สนับสนุนความสามารถ” ด้วยนะ ถ้าเรามีงบประมาณให้วิจัย มีเครื่องมือทันสมัย และให้เกียรติคนที่ทำงานเพื่อสังคม เช่น นักวิจัย หมอ หรือครู มันจะทำให้เขารู้สึกว่าที่นี่คือบ้านที่พร้อมสนับสนุนเขา ไม่ต้องไปหาที่อื่น
สุดท้าย ว่าถ้าเราสร้าง “ความผูกพัน” กับบ้านเกิดได้ล่ะ? เช่น ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกภูมิใจในความเป็นไทย หรือมีนโยบายที่ดึงคนเก่งกลับมา เช่น ลดภาษี หรือให้สิทธิพิเศษสำหรับคนที่กลับมาทำงานในไทย มันอาจจะช่วยลดสมองไหลได้บ้าง
ลองดูประเทศอย่างเกาหลีใต้สิ เขาเคยเจอปัญหาสมองไหลหนัก ๆ เหมือนกัน แต่พอรัฐบาลลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรมจริงจัง ตอนนี้คนเก่ง ๆ อยากอยู่ที่นั่นกันเยอะเลย ไทยเราก็น่าจะทำได้นะ ถ้าทุกคนช่วยกัน
ทิ้งท้าย
มาถึงตรงนี้แล้ว คงเห็นภาพชัดแล้วเนาะว่าสมองไหลคืออะไร ทำไมมันเกิด และมันกระทบเรายังไงบ้าง มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนเก่งที่ย้ายไปต่างประเทศนะ แต่มันคืออนาคตของเราทุกคนเลย ถ้าเรายังปล่อยให้สมองไหลออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำอะไร เราอาจจะเสียโอกาสที่จะพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมคนอื่นเขาได้ แต่ถ้าเราร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เอกชน หรือแม้แต่ตัวเราเอง มันก็ยังมีความหวัง
ลองชวนคนอื่นมาคุยกันต่อสิ ว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องนี้ หรือมีไอเดียอะไรเจ๋ง ๆ ที่จะช่วยรั้งคนเก่งไว้บ้าง แชร์บทความนี้ไปให้คนอื่นอ่านด้วยก็ได้นะ เพราะยิ่งเราคุยกันเยอะ ปัญหานี้มันก็จะยิ่งชัด และอาจจะนำไปสู่การแก้ไขจริง ๆ ได้สักวัน คอมเมนต์มาบอกด้วยล่ะ ว่าเธอคิดยังไงกับสมองไหลบ้าง!