เรื่องน่าสนใจ

บูลลี่ (Bully) คืออะไร? เข้าใจปัญหาและแนวทางแก้ไข

เคยสงสัยไหมว่าคำว่า บูลลี่ (Bully) ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ในสังคมทุกวันนี้ จริง ๆ แล้วหมายถึงอะไร และทำไมถึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนให้ความสำคัญ? บางคนอาจมองว่ามันเป็นเพียงการล้อเล่นหรือหยอกล้อกันตามปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว “บูลลี่” มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น และสามารถก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้อย่างมากมาย ทั้งด้านจิตใจและพฤติกรรมของผู้ถูกกระทำ นี่คือปัญหาที่กำลังได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย ซึ่งเราทุกคนอาจมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่ทันรู้ตัว

วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนมาคุยเรื่อง “บูลลี่” แบบเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อทำความเข้าใจความหมายและผลกระทบต่าง ๆ ของมัน รวมถึงวิธีการรับมือและแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดบูลลี่ในโรงเรียน ที่ทำงาน หรือสังคมออนไลน์ หากคุณอยากสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีความสุขสำหรับทุกคน ลองอ่านบทความนี้ไปด้วยกัน แล้วคุณจะได้มุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับการบูลลี่ ที่อาจช่วยปกป้องตัวคุณ คนที่คุณรัก และชุมชนรอบตัวคุณได้เป็นอย่างดี

บูลลี่ (Bully) คืออะไร?

บูลลี่ (Bully) คืออะไร?

บูลลี่ (Bully) หมายถึงการกระทำที่ตั้งใจหรือเป็นนิสัยในการทำร้ายหรือกดขี่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย คำพูด หรือจิตใจ ผู้ที่กระทำการบูลลี่มักมีเป้าหมายเพื่อควบคุมหรือทำให้ผู้อื่นอ่อนแอลง การกระทำนี้อาจเกิดได้ในหลากหลายสถานที่ ตั้งแต่ในโรงเรียน สถานที่ทำงาน จนถึงการใช้งานโซเชียลมีเดียในโลกออนไลน์ ด้วยเหตุนี้ การบูลลี่จึงส่งผลกระทบในวงกว้างและสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย

มีหลายคนที่เข้าใจผิดว่าการบูลลี่เป็นเพียงการหยอกล้อกันเล่นหรือการระบายอารมณ์เฉย ๆ ทว่าความจริงแล้ว ขอบเขตของ “การหยอกล้อ” และ “การบูลลี่” นั้นค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชัดเจน การบูลลี่มักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องและมุ่งหวังที่จะสร้างความเจ็บปวดหรือสร้างความกดดันให้กับเหยื่อ เพื่อให้เกิดความรู้สึกด้อยค่า หรือสูญเสียความมั่นใจในตนเอง

นอกจากนี้ การบูลลี่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำร้ายร่างกายหรือกดดันจิตใจโดยตรง แต่ยังครอบคลุมไปถึงพฤติกรรมที่เป็นการ “ไม่ทำ” อะไรบางอย่างด้วย เช่น การกีดกันคนหนึ่งออกจากกลุ่ม ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรม หรือเพิกเฉยต่อความต้องการของเขา ในระดับหนึ่ง การกระทำนี้ก็นับเป็นการบูลลี่ เพราะทำให้เป้าหมายรู้สึกโดดเดี่ยวหรือถูกทอดทิ้งโดยเจตนา

บทความที่เกี่ยวข้อง
Advertisement

พอเราเข้าใจเบื้องต้นแล้วว่าการบูลลี่คืออะไร สิ่งสำคัญต่อไปคือการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบต่าง ๆ ของบูลลี่ เพราะการบูลลี่ในยุคปัจจุบันมาในหลายลักษณะ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในโรงเรียนหรือในที่ทำงานเท่านั้น แต่ยังขยายไปในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถระวัง ป้องกัน และแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม

รูปแบบของบูลลี่ในสังคมปัจจุบัน

การบูลลี่ในสังคมปัจจุบันมีความหลากหลายและอาจเกิดขึ้นได้ในหลาย ๆ สถานการณ์ โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็นสามลักษณะหลัก ๆ ได้แก่ การบูลลี่ทางกาย การบูลลี่ทางวาจาหรือจิตใจ และการบูลลี่ในโลกออนไลน์ (Cyberbullying) ซึ่งแต่ละแบบก็ส่งผลร้ายในมุมที่แตกต่างกันออกไป

  1. การบูลลี่ทางกาย (Physical Bullying): การบูลลี่ชนิดนี้เป็นการทำร้ายทางร่างกายโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการชกต่อย เตะ ผลัก หรือแม้แต่การขโมยหรือทำลายข้าวของของผู้อื่น ซึ่งมักพบเห็นได้ในโรงเรียนหรือสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มผู้คนจำนวนมาก ความรุนแรงทางกายภาพไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลทางกายเท่านั้น แต่ยังอาจทิ้งร่องรอยความกลัวและความบอบช้ำทางจิตใจที่ยากจะรักษาด้วย
  2. การบูลลี่ทางวาจาหรือจิตใจ (Verbal/Emotional Bullying): การบูลลี่ชนิดนี้อาจไม่ได้สร้างบาดแผลหรือรอยฟกช้ำทางกาย แต่เป็นการใช้คำพูด การดูถูก หยามเกียรติ เสียดสี หรือการข่มขู่ที่ทำให้เหยื่อรู้สึกต่ำต้อย ด้อยค่า และสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง การกระทำเหล่านี้อาจเกิดได้ทั้งในที่สาธารณะหรือในที่ส่วนตัว และบ่อยครั้งอาจดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ จนผู้ถูกกระทำเริ่มเก็บกดทางอารมณ์โดยไม่มีใครสังเกต
  3. การบูลลี่ในโลกออนไลน์ (Cyberbullying): ยุคดิจิทัลทำให้การสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้น แต่ก็กลายเป็นช่องทางให้เกิดการบูลลี่รูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมา เช่น การโพสต์ข้อความหยาบคาย การปล่อยข่าวปลอม การทำให้ผู้อื่นอับอายผ่านโซเชียลมีเดีย หรือการข่มขู่แบล็กเมล์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ การบูลลี่ในโลกออนไลน์มีข้อกังวลพิเศษ เพราะสามารถเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง และข้อมูลหรือข้อความที่โพสต์ลงออนไลน์อาจอยู่ถาวร ติดตามไปที่ไหนก็ได้โดยที่เราอาจไม่สามารถลบทิ้งได้ทั้งหมด

การทำความเข้าใจรูปแบบของบูลลี่ไม่เพียงช่วยให้เรารู้ทันและป้องกันตัวเอง แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้คนรอบข้างได้รับรู้ถึงความเสี่ยงและปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเราสังเกตเห็นสัญญาณการกลั่นแกล้งในโรงเรียน เราอาจช่วยเตือนหรือรายงานครูผู้สอน หรือถ้าเห็นใครกำลังถูก Cyberbullying ในโซเชียลมีเดีย เราอาจช่วยกันกดรีพอร์ต (Report) และให้กำลังใจเหยื่อ เพื่อเป็นการหยุดการบูลลี่ได้ตั้งแต่ต้น

สุดท้ายแล้ว การรู้จักรูปแบบของบูลลี่เป็นการเปิดประตูให้เราเข้าใจปัญหาได้ชัดเจนขึ้น เพื่อที่เราจะได้ไม่มองข้ามสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ และเรียนรู้ที่จะหยุดพฤติกรรมบูลลี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบของบูลลี่ต่อผู้ถูกกระทำและสังคม

เมื่อพูดถึง “บูลลี่” เราอาจมองว่ามันเป็นปัญหาส่วนบุคคลของผู้ถูกรังแกกับผู้กระทำ แต่ความจริงแล้ว ผลกระทบของบูลลี่แผ่ขยายกว้างมากกว่าที่เราคิด ทั้งด้านสุขภาพจิต สุขภาพกาย และความสัมพันธ์ในระดับสังคม

  1. ผลกระทบต่อสุขภาพจิต: ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อบูลลี่มักประสบปัญหาความเครียด ความวิตกกังวล และอาจถึงขั้นซึมเศร้า พวกเขาอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเองและหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม เนื่องจากกลัวจะถูกล้อเลียนหรือข่มเหงซ้ำ ความเครียดสะสมเหล่านี้อาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เกิดภาวะป่วยทางจิต จนไปกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
  2. ผลกระทบต่อสุขภาพกาย: ในบางกรณี การบูลลี่ทางกายอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล อีกทั้งความเครียดและความกดดันที่ผู้ถูกกระทำประสบ อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น โรคกระเพาะอาหารจากความเครียด หรืออาการปวดหัวเรื้อรัง
  3. ผลกระทบต่อสัมพันธภาพในสังคม: บรรยากาศของการบูลลี่ที่ดำรงอยู่ในสังคมหรือองค์กร จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความไม่ไว้วางใจต่อกัน เมื่อมีคนที่ได้เห็นหรือรับรู้ว่ามีบูลลี่เกิดขึ้น แต่ไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วยเหลือหรือรายงานผู้มีอำนาจ สิ่งนี้ก็จะสร้างวงจรที่เอื้อให้การบูลลี่ดำเนินต่อไป ยิ่งกว่านั้น การไม่มีมาตรการหรือนโยบายชัดเจนในการป้องกันและแก้ปัญหา ยังทำให้สังคมนั้นสูญเสียคนเก่งหรือบุคลากรที่มีคุณภาพ เพราะไม่มีใครอยากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ
  4. ผลกระทบระยะยาวต่อผู้กระทำ: หากไม่แก้ไขหรือแทรกแซงพฤติกรรมของผู้ที่ชอบบูลลี่ตั้งแต่เนิ่น ๆ พวกเขาอาจเติบโตขึ้นมาพร้อมกับทัศนคติที่มองว่าการข่มเหงผู้อื่นเป็นเรื่องปกติ เป็นทางลัดในการสร้างอำนาจเหนือผู้อื่น และอาจขยายเป็นพฤติกรรมรุนแรงในอนาคต เช่น อาชญากรรม หรือการคุกคามในครอบครัว
  5. วงจรการบูลลี่ที่อาจส่งต่อรุ่นสู่รุ่น: ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อบุคคลเท่านั้น แต่การบูลลี่อาจส่งผลกระทบสืบทอดไปถึงคนรุ่นหลัง หากเด็กคนหนึ่งโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการบูลลี่ เขาอาจซึมซับพฤติกรรมหรือค่านิยมผิด ๆ จนกลายเป็นคนที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา สังคมที่เต็มไปด้วยการบูลลี่จึงต้องเสียโอกาสในการพัฒนา และต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากเพื่อฟื้นฟูและสร้างความเข้าใจใหม่ ๆ

เมื่อมองภาพรวม จะเห็นได้ว่าการบูลลี่ไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างบุคคล แต่สะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคมที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น การตระหนักถึงผลกระทบในหลาย ๆ มิติ ช่วยกระตุ้นให้เราทุกคนทำหน้าที่เป็นหูเป็นตา ร่วมแก้ไข และร่วมสร้างสังคมที่เอื้ออาทรกันมากกว่าเดิม

สาเหตุที่ทำให้เกิดการบูลลี่

แม้ว่าการบูลลี่จะเป็นพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ แต่เราต่างก็รู้ว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุก ๆ ที่ คำถามต่อมาคือ “อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คนบางคนเลือกที่จะบูลลี่ผู้อื่น?” เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจรากเหง้าของพฤติกรรมนี้

  1. ปมด้อยและความรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเอง: บางครั้ง ผู้ที่ชอบบูลลี่อาจเกิดจากความรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง พวกเขาอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จหรือไม่ได้รับความสนใจพอ จึงเลือกใช้การข่มเหงผู้อื่นเป็นวิธีสร้างอำนาจหรือเพิ่มความสำคัญให้กับตัวเอง การทำให้คนอื่นดูแย่กว่าจึงกลายเป็นกลไกในการปกป้องตัวเองทางอ้อม
  2. สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู: การเจริญเติบโตมาในครอบครัวหรือสังคมที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา อาจปลูกฝังค่านิยมว่าการกดขี่หรือต่อว่าเป็นเรื่องปกติ เด็กที่เห็นพฤติกรรมก้าวร้าวหรือถูกทำร้ายจนชิน อาจเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้นเมื่อโตขึ้น นอกจากนี้ การขาดการกำกับดูแลหรือคำแนะนำที่ถูกต้องจากผู้ปกครอง ก็อาจเปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้การข่มเหงผู้อื่นได้ง่ายขึ้น
  3. ความกดดันทางสังคมและการเปรียบเทียบ: สังคมที่เน้นการแข่งขันสูงหรือให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบ อาจกระตุ้นให้บางคนเลือกวิธีลดทอนคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบูลลี่ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่าง คนที่มีความสามารถต่ำกว่า หรือแม้แต่คนที่โดดเด่นกว่าแล้วทำให้เขารู้สึกอิจฉา การเปรียบเทียบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แต่ละคนพยายามรักษาภาพลักษณ์ตนเองโดยการเหยียบย่ำผู้อื่น
  4. ขาดความเข้าใจเรื่องคุณค่าและความแตกต่าง: ในสังคมที่ยังขาดการยอมรับความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา เพศสภาพ หรือวิถีชีวิต ผู้ที่มีความแตกต่างออกไปมักตกเป็นเป้าหมายของการบูลลี่ ผู้กระทำอาจมองว่าความแตกต่างเหล่านั้นเป็นเรื่องไม่ปกติ และเห็นว่าเป็นข้ออ้างในการล้อเลียนหรือกดขี่
  5. อิทธิพลจากสื่อและการใช้อินเทอร์เน็ต: สื่อบางประเภทโดยเฉพาะในโลกออนไลน์ อาจนำเสนอภาพหรือข้อความที่กระตุ้นให้เกิดการบูลลี่ทางความคิดและทัศนคติ เช่น การล้อเลียนดาราหรือนักการเมือง แล้วได้รับการตอบรับเป็นจำนวนมากจากผู้ชม ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการบูลลี่เป็นเรื่องธรรมดาและได้รับการยอมรับในสังคม ยิ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การใช้นามแฝงก็ยิ่งทำให้คนกล้าปล่อยข้อความรุนแรงมากขึ้น

เมื่อเราเข้าใจว่าการบูลลี่ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอย ๆ แต่เกิดจากปัจจัยหลายด้านที่เกี่ยวพันกัน สิ่งนี้จะช่วยให้เราหาทางแก้ไขได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเข้าใจตั้งแต่ในครอบครัว การส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่เคารพความแตกต่าง หรือการใช้สื่ออย่างมีวิจารณญาณ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นก้าวสำคัญในการป้องกันและลดการบูลลี่ในสังคม

แนวทางป้องกันและรับมือกับบูลลี่

การบูลลี่เป็นปัญหาที่ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งครอบครัว โรงเรียน เพื่อนร่วมงาน ผู้บริหารองค์กร และสังคมโดยรวม การป้องกันและรับมือกับบูลลี่จึงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นหน้าที่ของทุกคนในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเป็นมิตร มาดูกันว่ามีแนวทางอะไรบ้างที่อาจช่วยป้องกันและรับมือกับบูลลี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. สร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้: หนึ่งในก้าวแรกที่สำคัญคือการให้ความรู้และความเข้าใจแก่คนรอบข้างเกี่ยวกับสิ่งที่ถือเป็นบูลลี่ อธิบายให้ชัดเจนระหว่าง “การหยอกล้อเพื่อน” กับ “การกลั่นแกล้งหรือข่มเหง” ว่ามีเส้นแบ่งอย่างไร การจัดกิจกรรมหรืออบรมในโรงเรียนและองค์กรเพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงผลเสียและความรุนแรงของบูลลี่ จะทำให้ผู้คนรู้จักสังเกตและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมลักษณะนี้มากขึ้น
  2. ส่งเสริมการสื่อสารที่สร้างสรรค์: ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน พนักงานในบริษัท หรือผู้บริหารระดับสูง การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์และให้เกียรติผู้อื่นเป็นปัจจัยสำคัญในการลดบรรยากาศของการบูลลี่ เปิดโอกาสให้คนในทีมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่ใช้ถ้อยคำดูถูกหรือเหยียดหยาม และตั้งกฎเกณฑ์ชัดเจนเพื่อไม่ให้ใครนำคำพูดเป็นอาวุธในการทำร้ายกัน
  3. จัดตั้งช่องทางรายงานและให้คำปรึกษา: ในสถาบันการศึกษาหรือสถานที่ทำงาน ควรมีช่องทางที่ชัดเจนและปลอดภัยให้ผู้ถูกกระทำหรือผู้พบเห็นการบูลลี่สามารถแจ้งข้อมูลได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเอาคืน เช่น ตู้ไปรษณีย์ร้องเรียน เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันพิเศษที่อาจให้รายงานแบบไม่เปิดเผยตัวตน (Anonymous) หากมีการพบว่ามีบูลลี่เกิดขึ้นจริง ก็ควรมีมาตรการลงโทษหรือแก้ไขอย่างเหมาะสม และให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่มีปัญหาทั้งทางด้านจิตใจและกฎหมาย
  4. สร้างวัฒนธรรมในการเคารพความแตกต่าง: ค่านิยมที่เห็นคุณค่าของความแตกต่าง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สังคมปราศจากการบูลลี่ สนับสนุนให้คนรอบข้างได้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมและมุมมองที่หลากหลาย ผ่านกิจกรรมหรือโครงการที่ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเอื้ออาทร เมื่อผู้คนเริ่มมองเห็นว่าความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมชาติและน่าสนใจ การใช้ความรุนแรงหรือถ้อยคำดูถูกก็จะลดลง
  5. ให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกระทำอย่างจริงจัง: หากคุณทราบว่ามีเพื่อนหรือบุคคลรอบตัวถูกบูลลี่ อย่าลังเลที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ การเข้าไปพูดคุย ให้กำลังใจ และแนะนำช่องทางการขอความช่วยเหลือต่าง ๆ อาจช่วยให้พวกเขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ผู้ที่ถูกบูลลี่ต้องการพื้นที่ปลอดภัยในการระบายความรู้สึกและคำแนะนำในการรับมือ โดยเฉพาะในกรณีของเด็กและวัยรุ่น ผู้ปกครองและครูควรร่วมมือกันในการติดตามและช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ปัญหาทวีความรุนแรง
  6. ใช้สื่อโซเชียลอย่างมีสติ: เมื่อพฤติกรรมบูลลี่หลายกรณีเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ การใส่ใจและรู้เท่าทันสื่อเป็นเรื่องสำคัญ คิดให้รอบคอบก่อนแสดงความคิดเห็นหรือแชร์ข้อมูลที่อาจกระทบผู้อื่นในทางลบ หากพบเห็นการบูลลี่ในแพลตฟอร์มใด ๆ ควรกดรายงาน (Report) หรือแจ้งผู้ดูแลระบบทันที และถ้าเป็นไปได้ ให้พยายามให้กำลังใจหรือช่วยเหลือผู้ถูกกระทำในช่องทางส่วนตัว

เมื่อเรามีมาตรการป้องกันและรับมือแบบครบวงจรทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และสังคม เชื่อได้ว่าปัญหาบูลลี่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด และทำให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่สงบสุขและเคารพซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น

วิธีสร้างสังคมที่ไม่บูลลี่

หากเราต้องการสังคมที่ปราศจากการบูลลี่ เราต้องร่วมมือกันตั้งแต่ระดับบุคคล กลุ่มย่อย ไปจนถึงระดับชาติ ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นอาจฟังดูใหญ่โต แต่การเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันก็สามารถสร้างความแตกต่างได้มากเช่นกัน

  1. เริ่มจากตัวเอง: การสร้างสังคมที่ไม่บูลลี่ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติของเราเองก่อน ลองทบทวนว่าคำพูดหรือการกระทำของเรามีโอกาสทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่นหรือไม่ ถ้าใช่ ให้ปรับปรุงแก้ไข และหมั่นแสดงความเห็นใจ (Empathy) ต่อผู้อื่น รวมถึงการยอมรับว่าแต่ละคนมีภูมิหลังและประสบการณ์ต่างกัน
  2. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายต่อต้านบูลลี่: บางโรงเรียนหรือองค์กรอาจมีชมรมหรือโครงการรณรงค์ต่อต้านการบูลลี่ การเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวเป็นวิธีที่ดีในการแลกเปลี่ยนความรู้ สนับสนุนซึ่งกันและกัน และทำให้คนรอบข้างเห็นว่าบูลลี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทนรับได้ หรือหากยังไม่มีโครงการเหล่านี้ ก็สามารถเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งขึ้นมาก็ได้
  3. ส่งเสริมการพูดคุยอย่างเปิดเผยและสร้างสรรค์: การตั้งวงสนทนาในกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการบูลลี่ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจร่วมกันถึงผลกระทบและวิธีป้องกันที่เหมาะสม การพูดคุยเปิดเผยอย่างจริงใจยังทำให้คนที่อาจเคยเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ ได้มีโอกาสสะท้อนความรู้สึกและเรียนรู้จากกันและกัน
  4. สนับสนุนการเรียนรู้เชิงบวกในสถาบันการศึกษา: โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่เด็กและเยาวชนใช้เวลาส่วนใหญ่ การบ่มเพาะจิตสำนึกไม่บูลลี่จึงควรเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษาขึ้นไป ผ่านหลักสูตร กิจกรรม และโครงการที่สอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับการเคารพผู้อื่น การทำงานเป็นทีม และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การมีนโยบายและมาตรการชัดเจนในการลงโทษผู้กระทำบูลลี่ ก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เด็กรับรู้ถึงผลที่จะตามมา
  5. เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในโลกออนไลน์: โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ การใช้พื้นที่ตรงนี้เผยแพร่บทความ วิดีโอ หรือเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจในเรื่องบูลลี่ จะช่วยขยายผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว หากคุณมีประสบการณ์ส่วนตัวที่สามารถแบ่งปันเพื่อสร้างแรงบันดาลใจหรือคำแนะนำในการรับมือ ก็ควรโพสต์หรือแชร์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น และถ้าพบเห็นการบูลลี่ ก็ควรออกมาสนับสนุนความถูกต้องอย่างเหมาะสม
  6. ประสานงานกับภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ: หากปัญหาบูลลี่รุนแรงและเกินกว่าที่บุคคลหรือองค์กรขนาดเล็กจะรับมือได้ ควรประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา เข้ามาให้คำปรึกษาและพัฒนาแผนงานร่วมกัน เพื่อลดการบูลลี่และสร้างสังคมที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน

เมื่อเราสามารถเชื่อมโยงความคิดและการกระทำเหล่านี้เข้าด้วยกัน โดยไม่ละเลยบทบาทของแต่ละคน สังคมที่ไม่บูลลี่ก็จะไม่ใช่เพียงความฝัน แต่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตประจำวันของเรา

ทิ้งท้าย

เราได้พูดคุยกันอย่างละเอียดถึงความหมายของ “บูลลี่” (Bully) ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของคำจำกัดความ รูปแบบ ปัจจัยที่ทำให้เกิด และผลกระทบที่กว้างขวางทั้งต่อผู้ถูกกระทำและสังคมโดยรวม จะเห็นได้ว่าการบูลลี่ไม่ได้เป็นเพียงเรื่อง “เล็กน้อย” ที่ทำเล่น ๆ แต่มีโอกาสส่งผลเสียอย่างร้ายแรงทั้งทางกายและใจ รวมถึงเปิดโอกาสให้วงจรความรุนแรงถูกสืบทอดต่อไป

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราทุกคนร่วมมือกันสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเคารพกันและกัน เริ่มจากตัวเองก่อน ด้วยการปรับวิธีคิด และไม่ปล่อยผ่านเมื่อพบเห็นการบูลลี่ นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันในระดับครอบครัว โรงเรียน สถานที่ทำงาน และผ่านทางออนไลน์ จะเป็นแรงผลักดันให้เราสามารถต่อต้านและแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

ถ้าคุณมีความคิดเห็นหรือประสบการณ์เกี่ยวกับบูลลี่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ถูกกระทำหรือผู้พบเห็น อย่าลังเลที่จะแบ่งปันประสบการณ์ของคุณในช่องคอมเมนต์ด้านล่าง การพูดคุยอย่างเปิดเผยและการให้กำลังใจกันและกัน เป็นก้าวแรกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อน ๆ หรือครอบครัวที่อาจต้องการคำแนะนำหรือต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาบูลลี่เพิ่มเติม แล้วมาร่วมกันสร้างสังคมที่ปราศจากการกลั่นแกล้งไปด้วยกัน!

Advertisement

Source
StopBullying.gov
กดเพื่ออ่านต่อ
Advertisement

NaniTalk S.

เป็นนักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button