ยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องแรงและอุณหภูมิในหลายพื้นที่กระโดดสูงจนน่าใจหาย คุณอาจเคยได้ยินคำว่า “เอลนีโญ” ว่าเป็นต้นเหตุให้สภาพอากาศแปรปรวนราวกับธรรมชาติกำลังส่งสัญญาณเตือน ถึงแม้ใครหลายคนจะคุ้นหูกับคำนี้ แต่น้อยคนนักที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าปรากฏการณ์นี้หมายถึงอะไร ทำไมถึงเกิดขึ้น แล้วมันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไรบ้าง
หลายพื้นที่บนโลก รวมถึงประเทศไทย อาจเจอกับภาวะฝนแล้งจัดจนน้ำตามเขื่อนลดฮวบ หรือบางพื้นที่ที่เคยแล้งยาวนานกลับมีฝนเทลงมาชนิดที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน การขึ้นลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกช่างดูไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วมันส่งกระทบโดยตรงต่อสภาพภูมิอากาศของมนุษย์และระบบนิเวศการเกษตรทั่วโลก
แล้วจริง ๆ เอลนีโญคืออะไร? ทำไมถึงมีพลังยิ่งใหญ่ขนาดพลิกให้จุดใดจุดหนึ่งต้องร้อนแห้งแล้ง สวนทางกับอีกฟากโลกที่ฝนกลับถล่มไม่หยุด หากคุณพร้อมจะเจาะลึกถึงสาเหตุ กลไกการก่อตัว และผลกระทบที่ตามมาอย่างรอบด้าน บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักเอลนีโญแบบหมดเปลือก เพื่อให้คุณนำความรู้นี้ไปปรับใช้ รวมถึงเตรียมตัวรับมืออนาคตที่อาจร้อนและแล้งขึ้นยิ่งกว่าเดิม
สารบัญ
เอลนีโญ (El Niño) คืออะไร?
ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) คือการที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณตอนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกร้อนขึ้นสูงกว่าค่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ โดยหลัก ๆ จะต้องสังเกตจากอุณหภูมิที่สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยปกติอย่างน้อยตั้งแต่ประมาณ 0.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป การที่น้ำทะเลอุ่นกว่าปกติเข้าไปแทนที่กระแสน้ำที่เย็น จะพลิกโฉมสภาพความชื้นในบรรยากาศ รวมถึงตำแหน่งที่ฝนเคยตกชุกและตำแหน่งที่เคยแล้งมาก่อน
ในภาวะปกติ กระแสลมที่เรียกว่า “ลมค้า” หรือ Trade Winds จะพัดจากฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกไปทางตะวันตก พัดพาน้ำทะเลอุ่นไปกระจุกตัวแทบชายฝั่งอินโดนีเซียและออสเตรเลีย จึงก่อให้เกิดสภาพอากาศชุ่มชื้นในพื้นที่ดังกล่าว ขณะเดียวกันทางฝั่งตะวันออก เช่น แถบอเมริกาใต้ จะตกอยู่ในสภาพที่เย็นและค่อนข้างแห้ง แต่เมื่อปรากฏการณ์เอลนีโญเกิดขึ้น กำลังลมค้านั้นอ่อนลง ทำให้น้ำทะเลอุ่นเคลื่อนกลับมายังฝั่งอเมริกาใต้มากขึ้น สิ่งนี้ทำให้ฝนที่เคยตกชุกในฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดปริมาณลงและเกิดภาวะแห้งแล้ง ส่วนฝั่งอเมริกาใต้กลับมีพายุฝนตกหนักและในบางกรณีอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้
ความเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แม้ว่าเอลนีโญนับเป็นปรากฏการณ์ตามวัฏจักรธรรมชาติที่มีมาแต่ดั้งเดิม แต่ในยุคที่โลกกำลังร้อนขึ้นจากภาวะโลกรวน (Global Warming) เอลนีโญอาจทวีความร้อนแรงมากกว่าเดิมก็เป็นได้ เพราะเมื่อปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้น อุณหภูมิโลกก็มีแนวโน้มก้าวกระโดด น้ำทะเลในมหาสมุทรก็ร้อนเร็วขึ้น ดังนั้น เมื่อเกิดเอลนีโญ สภาวะน้ำทะเลที่อุ่นผิดปกติอาจรุนแรงจนทำให้วงจรสภาพภูมิอากาศของโลกปั่นป่วนยิ่งกว่าที่เคยเป็น ทั้งในแง่ของปริมาณฝน การก่อตัวของพายุ ลมมรสุม รวมถึงรูปแบบการเคลื่อนของมวลอากาศ
มีการคาดการณ์ว่าแนวโน้มในอนาคต เอลนีโญและลานีญาอาจเปลี่ยนสลับกันถี่ขึ้น ช่วงเวลาที่ร้อนผิดปกติและแล้งจัดอาจยาวนานขึ้น และเมื่อประกอบเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ เราจึงอาจสัมผัสกับภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน หรือในขณะเดียวกันบางส่วนของโลกอาจเจอกับภัยแล้งยืดเยื้อจนผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำ
กลไกการเกิดเอลนีโญ
- ลมค้ากำลังอ่อน: ปกติลมค้าจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้น้ำทะเลอุ่นรวมตัวทางด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก แต่เมื่อผ่านช่วงที่ลมค้าอ่อน ไม่ว่าด้วยเหตุผลทางธรรมชาติหรืออิทธิพลอื่น ๆ น้ำทะเลอุ่นส่วนหนึ่งจะไหลย้อนกลับไปฝั่งตะวันออก
- อุณหภูมิผิวน้ำทะเลเพิ่มสูง: น้ำทะเลอุ่นที่กลับไปฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้บริเวณหน้าฝั่งอเมริกาใต้มีอุณหภูมิสูงขึ้นผิดปกติและเกิดเมฆฝน ด้านที่เคยเย็นหรือแห้งแล้งกลับชุ่มฉ่ำขึ้น ขณะเดียวกันบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เคยมีน้ำทะเลอุ่นมาก กลับจะเย็นลงและปริมาณความชื้นก็ลดลงไปด้วย
- ระบบความกดอากาศแปรปรวน: เมื่ออุณหภูมิผิวน้ำทะเลเปลี่ยน position ระบบความกดอากาศสูงต่ำก็รบกวนสมดุลเดิม ผลคือสร้างอิทธิพลต่อทิศทางพายุ มรสุม และปริมาณฝนในระดับมหภาค
- การเชื่อมโยงทั่วโลก: เอลนีโญเป็นปรากฏการณ์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ด้วยการหมุนเวียนของกระแสอากาศและกระแสน้ำขนาดมหาศาล ทำให้ปรากฏการณ์นี้เชื่อมโยงไปยังส่วนอื่นของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับปัจจัยภายในของแต่ละพื้นที่ จึงเกิดผลกระทบและความผันผวนแตกต่างกันไป
ร่องรอยประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์กับมนุษย์
แม้มนุษย์จะรู้จักคำว่า “เอลนีโญ” ไม่ถึงกับยาวนานหลายร้อยปีในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ว่าชาวประมงแถบอเมริกาใต้เคยสังเกตถึงความผิดปกติดังกล่าวมาโดยตลอด เกิดช่วงที่น้ำทะเลอุ่นผิดปกติแล้วทำให้ปลาหายไปมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้น ในหลายวัฒนธรรมจะเรียกช่วงนี้ว่าเป็นช่วงที่ “เด็กร้อน” มาเยือน เพราะจะเกิดใกล้ช่วงเทศกาลคริสต์มาสของชาวยุโรปในอดีต
ที่ผ่านมาเคยมีเหตุการณ์เอลนีโญครั้งใหญ่หลายรอบ ซึ่งมีบันทึกไว้ว่าก่อความเดือดร้อนอย่างรุนแรงต่อระบบอาหารและสภาพเศรษฐกิจของภูมิภาคต่าง ๆ ไม่ใช่เฉพาะที่อเมริกาใต้เท่านั้น แต่รวมถึงออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย หรือแม้แต่บางส่วนของสหรัฐอเมริกาเองก็เคยถูกพายุฝนถล่มเมื่อเจอเอลนีโญแรง ๆ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่โลกต้องเรียนรู้และเฝ้าระวัง
เอลนีโญต่างจากลานีญาอย่างไร?
หลายคนได้ยินคู่คำว่า “เอลนีโญ” กับ “ลานีญา” แล้วอาจสับสน จริง ๆ แล้วทั้งสองปรากฏการณ์อยู่ภายใต้ระบบเดียวกัน เรียกรวม ๆ ว่า ENSO (El Niño – Southern Oscillation) เพียงแต่เกิดในลักษณะตรงข้ามกัน
- ลานีญา (La Niña): คือช่วงที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณตอนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกนั้น “เย็นกว่าปกติ” โดยมีลมค้ากำลังแรงขึ้น บวกกับกระแสน้ำอุ่นถูกพัดไปทางตะวันตกมากกว่าขณะปกติ พื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับความชื้นสูง ฝนตกมากกว่าปกติ จนบางที่เสี่ยงน้ำท่วม
- เอลนีโญ (El Niño): คือสภาพกลับกัน อุณหภูมิน้ำทะเลแถบตะวันออกและตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้นเป็นพิเศษ ลมค้าอ่อน ส่งผลให้ฝนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดน้อยลง ร้อนและแล้งกว่าปกติ แต่ฝนและพายุจะไปถล่มฝั่งอเมริกาใต้ แทนที่จะแห้งแล้งตามปกติ
พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าเปรียบลานีญาเป็น “น้ำมาก” เอลนีโญก็คือ “น้ำแล้ง” และแน่นอนว่าทั้งคู่ส่งผลให้สภาพอากาศรวนได้ทั้งคู่ แต่ในลักษณะตรงข้ามกัน
ผลกระทบของเอลนีโญในระดับโลก
- ภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำในหลายพื้นที่: ภูมิภาคที่เคยมีฝนตามฤดูกาลจะเจอภาวะฝนตกน้อยจนทำให้ภัยแล้งรุนแรงขึ้น รวมถึงการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและน้ำอุปโภคบริโภค
- อุทกภัยในภูมิภาคที่เคยแห้ง: ตรงกันข้าม ในพื้นที่ที่ปกติเคยแห้งแล้งเช่นบริเวณชายฝั่งอเมริกาใต้ อาจจะได้รับอิทธิพลที่ตรงกันจนทำให้มีฝนตกหนัก พายุรุนแรง น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่ม
- การดังของราคาอาหาร: เมื่อการเกษตรในพื้นที่ที่ปกติผลิตพืชผลจำนวนมากได้รับผลกระทบ ทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมกะทันหัน ทำให้ผลผลิตเสียหาย สต็อกธัญพืชหรือสินค้าเกษตรที่คาดหวังไว้ขาดแคลน ดันให้ราคาในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น
- ความเสี่ยงต่อสัตว์น้ำในทะเล: อุณหภูมิที่สูงทำให้แหล่งอาหารและระบบนิเวศทะเลเปลี่ยนไป บางครั้งปลาทะเลที่ไวต่ออุณหภูมิอาจอพยพหนีหรือเสียชีวิตมากขึ้น ชาวประมงก็หาปลาได้ยากขึ้น
- สาธารณสุขและการระบาดของโรค: ภาวะอากาศร้อนยังสร้างเงื่อนไขเอื้อให้บางโรคระบาดง่ายขึ้น เช่น ไข้เลือดออก หรือโรคที่มากับยุงหรือแมลงในเขตที่อุณหภูมิพุ่งสูง
ผลกระทบของเอลนีโญต่อประเทศไทย
แม้ว่าไทยจะมิได้อยู่ใกล้ศูนย์กลางของปรากฏการณ์เอลนีโญเหมือนอเมริกาใต้ หากแต่เมื่อกระแสลมเปลี่ยนทิศทางและอุณหภูมิน้ำทะเลระดับภูมิภาคเปลี่ยน ไทยก็ได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของปริมาณฝนและอุณหภูมิ
- ฤดูฝนสั้นและแล้งยาวนาน: ปริมาณฝนอาจลดลงจากค่าปกติ สังเกตได้ว่าปีที่มีภาวะเอลนีโญชัดเจน ไทยอาจต้องเผชิญเหตุการณ์แล้งจัด แม้ในช่วงฤดูฝนบางพื้นที่อาจมีพายุลูกใหญ่ แต่ไม่ได้กระจายทั่วถึง อาจเกิดเป็นแบบหน่วง ๆ ตกหนัก แต่ไม่ได้ตกทั่ว ส่งผลต่อการเกษตรที่ต้องพึ่งน้ำฝนโดยตรง
- อุณหภูมิร้อนจัดกว่าปกติ: นอกจากฝนจะน้อยลงแล้ว ความกดอากาศและกระแสลมที่เปลี่ยนไปยังทำให้อากาศร้อนขึ้นในหลายภาค บางปีอุณหภูมิอาจพุ่งสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสยาวนาน เกิดคลื่นความร้อน (Heatwave) ส่งผลเสียต่อสุขภาพประชาชน ต้องระวังโรคที่มากับความร้อน อย่างเช่น โรคลมแดด (Heat Stroke)
- ผลผลิตทางการเกษตรลดลง: เมื่อฝนและน้ำมีน้อยกว่าปกติ ฤดูกาลเพาะปลูกในบางพื้นที่อาจไม่สามารถเดินต่อได้ตามแผน หรือพืชเสียหายทำให้เกษตรกรขาดรายได้ สินค้าเกษตรบางชนิดอาจมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากผลผลิตสู่ตลาดลดลง
- ความเสี่ยงต่อไฟป่าและหมอกควัน: อากาศที่แห้งจัดและทุ่งหญ้าหรือป่าสงวนที่ขาดความชุ่มชื้น อาจทำให้เกิดไฟป่าได้ง่าย โดยเฉพาะในภาคเหนือของไทย ซึ่งยังอาจเกิดปัญหาหมอกควันสะสมส่งผลต่อสุขภาพและการท่องเที่ยวในหลายจังหวัด
วิธีการรับมือเมื่อเกิดเอลนีโญ
- บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ: หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมแผนสำรองน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ รวมถึงเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เกษตรกรอาจต้องปรับเปลี่ยนชนิดพืชหรือรูปแบบการเพาะปลูกให้เหมาะกับปริมาณน้ำที่มี
- วางแผนการเก็บเกี่ยวและจัดการพืชผล: หากฤดูแล้งอาจมาเร็วกว่าปกติ ควรเร่งเก็บเกี่ยวพืชผลให้เสร็จสิ้นก่อนที่น้ำจะขาดมือ ปรับลดพื้นที่เพาะปลูก หรือเน้นพืชที่ใช้น้ำน้อยเพื่อกันความเสียหาย
- สื่อสารข้อมูลและเตือนภัยล่วงหน้า: ควรติดตามข่าวสารสภาพอากาศจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เพื่อเตรียมตัวล่วงหน้า หากคาดว่าปีนี้ฝนอาจจะแล้งยาวนาน ก็วางแผนลดความเสี่ยงเรื่องที่อยู่อาศัย การใช้น้ำ และการทำกิจกรรมกลางแจ้ง
- เพิ่มพื้นที่สีเขียว: แม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก แต่การปลูกต้นไม้ การมีป่า หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นและลดอุณหภูมิในชุมชน อีกทั้งยังมีส่วนเชื่อมโยงกับระบบนิเวศทางสัตว์ป่าและแมลงผสมเกสร
- ปรับตัวด้านสุขภาพ: ในช่วงที่อากาศร้อนหรือแห้งจัด อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดโดยไม่จำเป็น ตรวจสอบสุขภาพผู้สูงอายุและเด็กที่มีภูมิต้านทานต่ำ รวมถึงตรวจวัดคุณภาพอากาศเป็นระยะ
ตัวอย่างผลกระทบในกิจกรรมเศรษฐกิจและสังคม
- ภาคเกษตร: น้ำไม่พอใช้ หรือใช้ต้นทุนสูงเพราะต้องสูบน้ำจากแหล่งไกล อาจมีการปรับราคาเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย หรือค่าน้ำมันให้สูงขึ้น ผลผลิตรวมของประเทศอาจตกต่ำ
- ภาคอุตสาหกรรม: หากโรงงานบางแห่งต้องพึ่งน้ำจากแม่น้ำในกระบวนการผลิต เมื่อเกิดภาวะขาดน้ำหรือคุณภาพน้ำไม่ดี อาจชะลอการผลิตหรือเพิ่มต้นทุนการปรับสภาพน้ำ
- ภาคพลังงาน: โรงไฟฟ้าพลังน้ำอาจผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงหากปริมาณน้ำในเขื่อนลดระดับต่อเนื่อง บางพื้นที่อาจเผชิญกับไฟฟ้าตกหรือไฟฟ้าดับได้ในภาวะที่ขาดน้ำจนวิกฤต
- การท่องเที่ยว: แม้เอลนีโญจะไม่ทำให้นักท่องเที่ยวลดทันที แต่แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อย่างน้ำตกหรือเขื่อน อาจมีน้ำลด อุณหภูมิร้อนเกินไป ท้องฟ้าหม่น หมอกควัน หรือไฟป่า ล้วนทำให้เสน่ห์การท่องเที่ยวลดลง
- อาชญากรรมและความขัดแย้ง: เมื่อทรัพยากรน้ำขาด อาจเกิดข้อพิพาทในภาคเกษตรซึ่งแย่งแหล่งน้ำกัน หรือชุมชนอาจปะทะกันในบางกรณี นับเป็นปัญหาสังคมที่เกิดจากภัยแล้งทางอ้อม
จับตาเอลนีโญในอนาคต
มีการคาดว่าภาวะเอลนีโญอาจมีความถี่ในการเกิดมากขึ้นหรือมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หากปริมาณก๊าซเรือนกระจกยังเพิ่มสูงต่อเนื่อง เพราะความร้อนในมหาสมุทรเป็นตัวกระตุ้นของเอลนีโญและลานีญา ระยะเวลาแต่ละครั้งอาจยาวนาน 9-12 เดือน แต่บางครั้งอาจกินเวลาเป็นปีครึ่งหรือมากกว่านั้น เมื่อจบวัฏจักรเอลนีโญ ก็มักจะเปลี่ยนผ่านไปเป็นสภาวะปกติ (Neutral) หรือกลายเป็นลานีญาต่อเลยก็ได้
นอกจากนี้ในช่วงเอลนีโญ หากระดับอุณหภูมิโลกโดยรวมสูงขึ้นมาก อาจเกิดปรากฏการณ์พายุไซโคลนที่มีความเข้มข้นผิดปกติ หรืออาจไม่ก่อตัวพายุในบางพื้นที่ที่เคยพบบ่อย คล้าย ๆ กับการพลิกขั้วของสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากลมค้าอ่อน กำหนดการขึ้นลงของมรสุมแตกต่างไปจากปกติ จึงควรติดตามแบบจำลองสภาพอากาศและรายงานทางวิทยาศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ
ข้อควรระวังเพื่ออนาคตที่มั่นคง
- เพิ่มความตระหนักรู้ การศึกษาวิจัย: การสื่อสารความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์เอลนีโญสู่คนทั่วไปให้เข้าใจง่าย จะช่วยให้ประชาชนปรับตัวได้ทัน
- สนับสนุนเทคโนโลยีประหยัดน้ำ: ภาครัฐและเอกชนสามารถร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ระบบหมุนเวียนน้ำเสีย และนวัตกรรมชลประทานอัจฉริยะ
- ส่งเสริมการเพาะปลูกที่ยืดหยุ่น: ในบางพื้นที่อาจต้องเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อย หรือมองหาเทคนิคเกษตรผสมผสานที่รักษาความหลากหลายทางชีวภาพและช่วยกักเก็บน้ำในดิน
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ: เพราะเอลนีโญเป็นปรากฏการณ์ที่มีผลในหลายทวีป ความร่วมมือข้ามชาติจะช่วยให้เรามีข้อมูลที่แม่นยำขึ้น และแบ่งปันทรัพยากรหรือประสบการณ์แก้ไขปัญหาภัยพิบัติ
ทิ้งท้าย
เอลนีโญไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนเคยเข้าใจ ตรงกันข้าม มันมีผลต่อสภาพฝนและอุณหภูมิในพื้นที่ซึ่งอาจอยู่ไกลจากมหาสมุทรแปซิฟิกนับพันกิโลเมตร และในยุคที่โลกต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนอย่างเร่งรัด การแพร่กระจายผลกระทบของเอลนีโญยิ่งรวดเร็วและรุนแรง จากฤดูเพาะปลูกเสียหาย และการขาดแคลนน้ำ ไปจนถึงภัยพิบัติและผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในวงกว้าง
หากมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ช่วงปีที่มีเอลนีโญก็มักจะต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากสภาพอากาศร้อนแห้งแล้งเป็นพิเศษ เขื่อนหลายแห่งน้ำลดระดับอย่างน่าตกใจ เกษตรกรต้องเฝ้าระวังน้ำเพื่อรักษาผลผลิต และยังต้องเตรียมรับมือกับความร้อนที่อาจสร้างภาระค่าไฟฟ้าในครัวเรือนสูงขึ้น ดังนั้นทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนควรร่วมกันวางแผน จัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อที่เราจะผ่านพ้นช่วงเอลนีโญไปได้ด้วยความเสียหายน้อยที่สุด