มากกว่า 30 ประเทศต่อสู้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นสงครามที่ใหญ่และอันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ปี 1939 ถึง 1945 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 70-85 ล้านคนคิดเป็น 3% ของประชากรทั้งโลก ช่างภาพถ่ายภาพเหตุการณ์สำคัญในช่วงสงครามที่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อบันทึกภาพประวัติศาสตร์ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
รูปถ่ายสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่คุณต้องดู
เราได้รวบรวมภาพถ่ายที่ถ่ายช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบางภาพคุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน
วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย สี่วันให้หลัง การประกาศสงครามอย่างเป็นทางการต่อสหรัฐอเมริกาของฮิตเลอร์ ทำให้เยอรมนีเข้าสู่สงครามกับกำลังผสมซึ่งมีประเทศจักรวรรดิใหญ่ที่สุดในโลก คือ จักรวรรดิอังกฤษ ประเทศอุตสาหกรรมและการเงินยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีกองทัพใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหภาพโซเวียต
บี-17 ถูกใช้งานเป็นหลักโดยกองทัพอากาศทหารบกสหรัฐ (USAAF) ในการทัพทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ในเวลากลางวันในสงครามโลกครั้งที่สองต่อเป้าหมายเขตอุตสาหกรรมและทางทหารของเยอรมัน กองทัพอากาศที่ 8 ของสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ที่สนามบินหลายแห่งในภาคกลาง ตะวันออก และภาคใต้ของเกาะอังกฤษ
อเมริกามีเป้าหมายยึดทั้งเกาะอิโวะจิมะจากกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งรวมสนามบินที่ญี่ปุ่นยึดสามแห่ง (รวมสนามใต้และสนามกลาง) เพื่อเป็นพื้นที่พักพลสำหรับเข้าตีหมู่เกาะหลักของญี่ปุ่น ยุทธการนานห้าสัปดาห์นี้มีการสู้รบที่ดุเดือดและนองเลือดที่สุดในสงครามแปซิฟิกของสงครามโลกครั้งที่สอง
การประชุมยัลตา บ้างเรียก การประชุมไครเมีย และชื่อรหัสว่า การประชุมอาร์โกนอต (Argonaut Conference) จัดระหว่างวันที่ 4 ถึง 11 กุมภาพันธ์ 1945 เป็นการประชุมหัวหน้ารัฐบาลในสงครามโลกครั้งที่สองของสหรัฐ สหราชอาณาจักรและสหภาพโซเวียต โดยมีประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์, นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์ และนายกรัฐมนตรีโจเซฟ สตาลินเป็นผู้แทนตามลำดับ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออภิปรายการจัดเบียบหลังสงครามของทวีปยุโรป การประชุมจัดในพระราชวังลีวาเดียใกล้ยัลตาในคาบสมุทรไครเมีย
การประชุมนี้เจตนาอภิปรายการตั้งชาติอีกครั้งในทวีปยุโรปที่ได้รับผลจากสงคราม ภายในไม่กี่ปี ด้วยสงครามเย็นแบ่งทวีปยุโรป ยัลตากลายเป็นประเด็นการโต้เถียงอย่างเข้มข้น และบางส่วนยังเป็นข้อถกเถียงตราบจนทุกวันนี้
ยัลตาเป็นการประชุมยามสงครามครั้งที่สองจากสามครั้งในบรรดาสามชาติใหญ่ (Big Three) ก่อนหน้านี้มีการประชุมเตหะรานใน 1943 หลังจากนี้มีการประชุมพ็อทซ์ดัมในเดือนกรกฎาคม 1945 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมได้แก่ สตาลิน เชอร์ชิลล์ (ถูกเปลี่ยนตัวกลางคันโดยคลีเมนต์ แอตต์ลีย์ นายกรัฐมนตรีบริติชที่เพิ่งได้รับเลือกตั้ง) และแฮร์รี เอส. ทรูแมน ผู้สืบทอดของโรสเวลต์
แสงจากโรงงานที่สะท้อนอยู่ในจมูกของเครื่องบินที่โรงงาน Long Beach รัฐแคลิฟอร์เนียของ Douglas Aircraft คนงานหญิงแต่งจมูกโปร่งใสสำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิด A-20 ภาพจาก Alfred Palmer
สงครามโลกครั้งที่สองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับดักลาส ดักลาสอยู่ในอันดับที่ห้าของบริษัทในสหรัฐอเมริกาในด้านมูลค่าสัญญาการผลิตในช่วงสงคราม บริษัทผลิตเครื่องบินเกือบ 30,000 ลำตั้งแต่ ปี 1942 ถึง 1945 และมีพนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 160,000 บริษัทผลิตเครื่องบินจำนวนหนึ่ง Douglas C-47 Skytrain
ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ญี่ปุ่นเริ่มลงมือด้วยการซ่อนกองเรือบรรทุกเครื่องบินแล้วเข้าใกล้อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ให้ได้มากที่สุดแล้วนำเครื่องบินบินต่ำหลบคลื่นเรดาร์ อเมริกาตรวจพบเครื่องบิน 400 ลำกำลังเข้าเกาะ ปรากฏว่าทหารอเมริกาคิดว่าเป็นเครื่องบิน B-17 ของตนบินกลับมาจากจีน เครื่องบินของกองทัพญี่ปุ่นยิ่งเข้าใกล้เกาะขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะที่ทหารเรือกำลังตกปลาอยู่ แผนการรบทั้งหมดคิดโดย นายพลเรืออิโซโรกุ ยามาโมโต และได้ดัดแปลงตอร์ปิโดคือใส่ไม้รูปทรงคล้าย ๆ กล่องเข้าไปที่ใบพัดจึงทำให้สามารถยิงในน้ำตื้นได้ การรบดังกล่าวทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนัก ทหารเสียชีวิต 2408 นาย เรือรบ 18 ลำ เครื่องบิน 400 ลำ และทำให้สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในที่สุด
เรืออู (U-boat) คำนี้ในภาษาเยอรมันหมายถึงเรือดำน้ำใด ๆ แต่ในภาษาอังกฤษ (ร่วมกับอีกหลายภาษา) หมายความเฉพาะถึงเรือดำน้ำเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง เรืออูนั้นเป็นอาวุธกองเรือที่มีประสิทธิภาพต่อเรือรบข้าศึก ทว่าถูกใช้มีประสิทธิภาพสูงสุดในบทบาทการสงครามเศรษฐกิจ (การตีโฉบฉวยเรือพาณิชย์) การปิดล้อมทางทะเลต่อการขนส่งสินค้าทางเรือข้าศึก
เป้าหมายหลักของการทัพเรืออูในสงครามโลกทั้งสองครั้งคือกองเรือพาณิชย์ที่นำเสบียงจากประเทศแคนาดา จักรวรรดิอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ไปส่งยังหมู่เกาะสหราชอาณาจักร และรวมถึงสหภาพโซเวียตและประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในสงครามโลกครั้งที่สอง เรือดำน้ำจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในช่วงปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด กองพลส่งกำลังทางอากาศที่ 101 ได้เข้าไปยึดฐานที่ตั้งทหารเยอรมันและทำลายสะพานตัดกองหนุนของกองทัพเยอรมันที่จะมาช่วยทหารเยอรมันตรงหัวหาด (หาดโอมาฮ่า ซอร์ด ยูทาห์ จูโน) ก่อนการยกพลขึ้นบกที่นอร์ม็องดีและในปฏิบัติการมาร์เก็ตการ์เดน ภารกิจยึดเมืองและหัวสะพานที่ฮอลแลนด์ล้มเหลวเพราะกรมทหาราบอากาศที่ 1 ของอังกฤษโดนตีแตกพ่ายที่เมืองอาร์เน็ม (ยุทธการอาร์เน็ม)
และทำให้กองทัพเยอรมันสามารถรวมกำลังตอบโต้ให้กองพลร่มถอยออกไปจากเนเธอร์แลนด์ได้สำเร็จ และยุทธการตอกลิ่ม ก็สามารถต้านทานกองทัพเยอรมันจนกว่ากองหนุน (กองทัพที่ 3 ของพลเอกจอร์จ เอส. แพตตัน) จะมาสมทบ แล้วเข้าร่วมการรบครั้งสุดท้ายในปฏิบัติการเวอซิเบรุงโดยที่ไปยึดแหล่งอุตสาหกรรมในเยอรมัน และในสงครามเย็นกองพลร่มที่ 101 นี้ก็ไปรบที่เวียดนาม และในสมรภูมิอื่น ๆ อีกครั้งกองพลร่มที่ 101 ได้ออกปฏิบัติการในสงครามอิรักอีกด้วย
ยุทธการโอกินาวะ หรือชื่อรหัส ปฏิบัติการภูเขาน้ำแข็ง (Operation Iceberg) เป็นการสู้รบบนหมู่เกาะรีวกีวของโอกินาวะและเป็นสงครามสะเทินน้ำสะเทินบกขนาดใหญ่ที่สุดในสงครามมหาสมุทรแปซิฟิก การรบกินเวลาถึง 82 วันจากต้นเดือนเมษายนถึงกลางเดือนมิถุนายน 1945 หลังดำเนินการต่อสู้แบบกบกระโดดไปทีละเกาะ (campaign of island hopping) อันยาวนาน สัมพันธมิตรก็ได้เข้ามาใกล้ประเทศญี่ปุ่น
สัมพันธมิตรวางแผนที่จะใช้โอกินาวะซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่น 550 กิโลเมตรเป็นฐานบินสำหรับปฏิบัติการตามแผนการบุกแผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่น (ชื่อรหัสปฏิบัติการดาวน์ฟอล) 4 กองพลของกองทัพที่ 10 สหรัฐคือ กองพลที่ 7, 27, 77 และ 96 และนาวิกโยธิน 2 กองพล คือ กองพลที่ 1 และ 6 ต่อสู้บนเกาะขณะที่นาวิกโยธินกองพลที่ 2 เป็นกองหนุนลอยลำแต่ไม่ได้ยกพลขึ้นฝั่ง การบุกได้รับการสนันสนุนจากกองทัพเรือ กำลังรบสะเทินน้ำสะเทินบก และกองทัพอากาศยุทธวิธี
ปืนรถไฟ หรือที่เรียกว่า ปืนราง เป็นปืนใหญ่ขนาด ปืนใหญ่ทางเรือ ติดตั้งบนขนส่งและยิงจากเกวียนรถไฟ ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ หลายประเทศได้สร้างปืนรถไฟ แต่ที่รู้จักกันดีคือ Krupp ที่สร้างขึ้นโดย เยอรมนี ใน สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และ สงครามโลกครั้งที่สอง
ช่วงเช้ามืดของวันที่ 7 ธันวาคม 1941 (หรือวันที่ 8 ตามเวลาในเอเชีย) ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์เช่นเดียวกับเกาะกวมและเกาะเวก ญี่ปุ่นได้โจมตีทางอากาศครั้งใหญ่โดยใช้เครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบิน ซึ่งส่งผลทำให้เรือประจัญบานของสหรัฐแปดลำไม่สามารถใช้การได้ ญี่ปุ่นได้เสี่ยงดวงว่าสหรัฐอเมริกา เมื่อเผชิญกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่อย่างฉับพลัน จะยอมตกลงบรรลุข้อตกลงเจรจาและยินยอมให้ญี่ปุ่นปกครองเอเชียอย่างเสรี
แต่การเสี่ยงโชคดังกล่าวไม่เป็นผล ความสูญเสียของสหรัฐนั้นเสียหายน้อยกว่าที่เคยคาดกันไว้มาก เพราะเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐ ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าเรือประจัญบานมาก ยังอยู่ในทะเล สาธารณูปโภคที่สำคัญของกองทัพเรือ (ถังน้ำมันเชื้อเพลิง อู่ต่อเรือและโรงไฟฟ้า) ฐานเรือดำน้ำ และหน่วยข่าวกรองทางสัญญาณไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ยุทธศาสตร์ถอยทัพของญี่ปุ่นต้องอาศัยสงครามบั่นทอนกำลังเพื่อให้สหรัฐยอมรับเงื่อนไขในที่สุด ซึ่งอยู่เหนือขีดความสามารถของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น
การตีโฉบฉวยหมู่เกาะมาร์แชลล์-กิลเบิร์ต เป็นการโจมตีทางอากาศและระดมยิงปืนใหญ่เรือทางยุทธศาสตร์ซึ่งผู้โจมตีโดยเรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐและกองเรือรบอื่น ๆ เข้าปะทะกับทหารรักษาการณ์ของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น (IJN) ในหมู่เกาะมาร์แชลล์-กิลเบิร์ต เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1942 ทหารรักษาการณ์ญี่ปุ่นภายใต้คำสั่งโดยรวมคือรองพลเรือเอก ชิเกโยชิ อิโนเอะ ผู้บัญชาการแห่งกองเรือที่สี่ เครื่องบินรบญี่ปุ่นในหมู่เกาะเป็นของฝูงบินกองทัพอากาศที่ 24 ของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นภายใต้การบังคับบัญชาโดยพลเรือตรี อิจิ โกโตะ กองเรือรบสหรัฐภายใต้คำสั่งโดยรวมคือ รองพลเรือเอก วิลเลียม ฮอลซี่ จูเนียร์
ค่ายกักกันบูเคินวัลท์ (Konzentrationslager Buchenwald) เป็นค่ายกักกันเชลยศึกของนาซีเยอรมนี จัดตั้งที่เอทเทอร์สแบร์ก (ภูเขาเอตเทอร์) ใกล้กับเมืองไวมาร์ รัฐทือริงเงิน ประเทศเยอรมนีเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2480 มีการใช้แรงงานนักโทษส่วนใหญ่เยี่ยงทาสตามโรงงานผลิตอาวุธต่าง ๆ หลายแห่งในพื้นที่ใกล้เคียง ระหว่างปี พ.ศ. 2488-2493 ค่ายกักกันนี้ถูกใช้โดยชาวโซเวียตที่เป็นฝ่ายยึดครองส่วนหนึ่งของเยอรมนี
พยาบาลทางอากาศในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อนำทหารที่ได้รับบาดเจ็บเกือบ 100,000 นาย จากแผ่นดินใหญ่ในยุโรปส่งโรงพยาบาลของอังกฤษ พวกเขาได้รับการขนานนามว่า Flying Nightingales โดยสื่อมวลชน
รูปแบบการรบภาคพื้นดินได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากแนวรบอยู่กับที่ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เปลี่ยนมาเป็นการรบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นแนวคิดมาจากรูปแบบการทำสงครามระหว่างเหล่าทัพ ซึ่งเป็นการประสานงานกันระหว่างคุณสมบัติของกองกำลังทหารที่หลากหลาย
รถถัง ซึ่งถูกใช้สนับสนุนทหารราบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้พัฒนาจนกลายมาเป็นอาวุธพื้นฐานของกองกำลังทั้งหมดในสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 การออกแบบรถถังได้มีการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมากในทุกด้าน เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และยังได้มีการพัฒนาความเร็ว เกราะและกำลังยิงที่เพิ่มมากขึ้น ยังได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระหว่างสงคราม ในช่วงแรกของสงคราม กองทัพส่วนใหญ่พิจารณาว่ารถถังเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการต่อสู้รถถังด้วยกัน
จึงได้พัฒนารถถังที่มีจุดประสงค์พิเศษขึ้นเพื่อบรรลุผลนั้น[360] แต่แนวคิดดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ว่าผิดในการปฏิบัติของรถถังค่อนข้างเบาในช่วงแรกในการต่อกรกับรถถัง และหลักนิยมของเยอรมันในการหลีกเลี่ยงการรบแบบรถถังต่อรถถัง และอีกปัจจัยนหนึ่ง จากการใช้กองกำลังผสมของเยอรมนี อันเป็นปัจจัยหลักของยุทธวิธีการโจมตีสายฟ้าแลบซึ่งประสบความสำเร็จทั้งในโปแลนด์และฝรั่งเศส และปรากฏหลายวิธีในการทำลายรถถัง รวมทั้งปืนใหญ่ทางอ้อม ปืนต่อสู้รถถัง ทุ่นระเบิด อาวุธพิสัยใกล้ต่อสู้รถถังสำหรับทหารราบ และการใช้รถถังได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ แม้กระทั่งในหลายกองทัพจะได้มีการเปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรอย่างกว้างขวาง แต่ทหารราบก็ยังคงเป็นกระดูกสันหลังสำหรับกองกำลังทั้งหมด และตลอดช่วงเวลาของสงคราม ยุทธภัณฑ์ของทหารราบส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกับที่เคยใช้ประโยชน์ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
มีการระดมทิ้งระเบิดทางอากาศและทะเล ตลอดจนการโจมตีส่งทางอากาศอย่างกว้างขวางก่อนการยกพลขึ้นบกสะเทินน้ำสะเทินบก ทหารส่งทางอากาศอังกฤษ อเมริกันและแคนาดา 21,000 นายลงสู่พื้นดินไม่นานหลังเที่ยงคืน กองพลทหารราบและยานเกราะฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มยกพลขึ้นบกตามชายฝั่งฝรั่งเศสเริ่มตั้งแต่ 6.30 น. ชายฝั่งนอร์ม็องดีเป้าหมายยาว 80 กิโลเมตรถูกแบ่งเป็นห้าส่วน ได้แก่ อ่าวยูทาห์, โอมาฮา โกลด์ จูโนและซอร์ด ลมแรงพัดพาหนะลำเลียงไปทางตะวันออกของตำแหน่งที่คาดหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ยูทาห์และโอมาฮา
ทหารที่ยกพลขึ้นบกถูกระดมยิงอย่างหนักจากที่ตั้งกำบังที่มองลงมาเห็นชายหาด และชายฝั่งถูกวางทุ่นระเบิดและเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางอย่างหลักไม้ แท่นสามขาโลหะและลวดหนาม ทำให้งานของทีมเก็บกวาดชายหาดยากและอันตราย กำลังพลสูญเสียหนักที่สุดที่โอมาฮา เพราะมีหน้าผาสูง ที่โกลด์ จูโนและซอร์ด หลายเมืองที่มีการป้องกันถูกกวาดล้างในการต่อสู้แบบบ้านต่อบ้าน และที่ตั้งปืนใหญ่หลักสองแห่งที่โกลด์ถูกรถถังพิเศษทำลาย
นักบินทัสคีกี เป็นกลุ่มนักบินทหารและนักบินทหารแอฟริกัน-อเมริกันที่ต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาก่อตั้งกลุ่มปฏิบัติการเดินทาง 332 และกลุ่มยิงถล่มที่ 477 ของกองกำลังทางอากาศกองทัพสหรัฐฯ ชื่อนี้ยังใช้กับนักเดินเรือผู้ทิ้งระเบิดช่างเครื่องอาจารย์หัวหน้าลูกเรือพยาบาลพ่อครัวและเจ้าหน้าที่สนับสนุนอื่น ๆ
วันที่ 7 ธันวาคม 1941 ขณะที่ USS Arizona จอดเทียบท่าอยู่ เมื่อกองทัพญี่ปุ่นได้ส่งฝูงบินหลายลำเข้าถล่มฐานทัพในอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ โดยที่ไม่มีการประกาศสงครามล่วงหน้ากับสหรัฐมาก่อน แน่นอนว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าทำให้สหรัฐถูกกองทัพญี่ปุ่นถล่มอย่างหนัก
ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือรบ USS Arizona ที่มีทหารประจำการอยู่หลายพันนาย ซึ่งทหารส่วนใหญ่กำลังอยู่ระหว่างการพักผ่อน จึงทำให้เรือรบ USS Arizona กลายเป็นเป้านิ่งที่โดนกองทัพญี่ปุ่นทิ้งระเบิดหลายต่อหลายลูก หลังถูกโจมตีอย่างหนักในที่สุดเรือรบ USS Arizona ก็จมสู่ก้นมหาสมุทรพร้อมกับลูกเรืออีก 1,177 ชีวิต โดยมีผู้รอดชีวิตเพียง 335 รายเท่านั้น จากการสืบสวนพบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เสียชีวิตเพราะการจมน้ำ มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่เสียชีวิตเพราะแรงระเบิด
Warren Tsuneishi เกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมในแคลิฟอร์เนียเป็นบุตรชายของผู้อพยพชาวญี่ปุ่น หลังจากกองกำลังของญี่ปุ่นทิ้งระเบิดเพิร์ลฮาร์เบอร์และสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ครอบครัวของเขาถูกอพยพไปยัง Heart Mountain ซึ่งเป็นสถานกักกันของญี่ปุ่นในไวโอมิง แต่ซึเนะอิชิต้องการอิสระและโอกาสที่จะรับใช้ชาติของเขาทั้ง ๆ ที่ครอบครัวของเขาถูกคุมขัง เขาเป็นอาสาสมัครให้โรงเรียนสอนภาษา Military Intelligence Service และทำงานในมหาสมุทรแปซิฟิกแปลเอกสารที่จับได้ซึ่งทำให้กองกำลังสหรัฐได้เปรียบอย่างมากในการรักษาความปลอดภัยฟิลิปปินส์และโอกินาวา
การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ เป็นการโจมตีจักรวรรดิญี่ปุ่นด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่สอง โดยคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฮร์รี เอส. ทรูแมน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม และวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากการโจมตีทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่าง ๆ 67 เมืองของญี่ปุ่นอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกันถึง 6 เดือน สหรัฐอเมริกาจึงได้ทิ้ง “ระเบิดปรมาณู” หรือที่เรียกในปัจจุบันว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่มีชื่อเล่นเรียกว่า “เด็กน้อย” หรือ “ลิตเติลบอย” ใส่เมืองฮิโรชิมะในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ตามด้วย “ชายอ้วน” หรือ “แฟตแมน” ลูกที่สองใส่เมืองนางาซากิโดยให้จุดระเบิดที่ระดับสูงเหนือเมืองเล็กน้อย นับเป็นระเบิดนิวเคลียร์เพียง 2 ลูกเท่านั้นที่นำมาใช้ในประวัติศาสตร์การทำสงคราม
การระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ฮิโรชิมะ 140,000 คนและที่นางาซากิ 80,000 คนโดยนับถึงปลายปี พ.ศ. 2488 จำนวนคนที่เสียชีวิตทันทีในวันที่ระเบิดลงมีจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนที่กล่าวนี้ และในระยะต่อมาก็ยังมีผู้เสียชีวิตด้วยการบาดเจ็บหรือจากการรับกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดอีกนับหมื่นคน ผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดในทั้ง 2 เมืองเป็นพลเรือน
หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองเป็นเวลา 6 วัน ญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงครามต่อฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่นับเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 (นาซีเยอรมนีลงนามตราสารประกาศยอมแพ้และยุติสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488) การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกดังกล่าวมีส่วนทำให้ประเทศญี่ปุ่นต้องยอมรับหลักการ 3 ข้อว่าด้วยการห้ามมีอาวุธนิวเคลียร์
วิลเฮ็ล์ม โบเดอวีน โยฮัน กุสทัฟ ไคเทิล (Wilhelm Bodewin Johann Gustav Keitel) เป็นจอมพลเยอรมันซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์ ตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป ตำแหน่งของเขาเทียบได้กับรัฐมนตรีกลาโหม จอมพลไคเทิลเป็นผู้ลงนามในตราสารยอมจำนนของเยอรมนีเพื่อยุติสงคราม ต่อมาถูกนำตัวเข้ารับการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์คของฝ่ายสัมพันธมิตร เขาพยายามต่อสู้คดีแต่สุดท้ายถูกตัดสินโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ถือเป็นหนึ่งในสามผู้บัญชาการระดับสูงสุดของเยอรมันที่ถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดี
ก่อนที่จะขึ้นเป็นหัวหน้ากองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์ ไคเทิลได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งปลัดแวร์มัคท์ในกระทรวงการสงครามเมื่อปีค.ศ. 1935 ต่อมาเมื่อฮิตเลอร์เข้าบัญชาการแวร์มัคท์โดยตรงในปีค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์ได้ยุบกระทรวงการสงครามและตั้งกองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์ขึ้นมาแทน โดยมีไคเทิลเป็นหัวหน้ากองบัญชาการใหญ่ฯ ด้วยอุปนิสัยว่านอนสอนง่ายต่อฮิตเลอร์ เพื่อนนายทหารแอบเรียกเป็นบุรุษ “ได้ครับผม เหมาะสมครับท่าน”
ยูเอสเอส มิสซูรี (BB-63) เป็นเรือประจัญบานชั้นไอโอวาของกองทัพเรือสหรัฐ และเป็นเรือลำที่สามของกองทัพเรือสหรัฐที่ใช้ชื่อตามรัฐมิสซูรี มิสซูรี เป็นเรือประจัญบานชั้นสุดท้ายที่สร้างขึ้นโดยสหรัฐและเป็นที่เซ็นสัญญายอมจำนนของจักรวรรดิญี่ปุ่นในตอนจบของสงครามโลกครั้งที่สอง
มิสซูรี ได้รับ 11 ดาวยุทธการจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามเกาหลี และ สงครามอ่าวเปอร์เซีย สุดท้ายเรือได้รับการปลดประจำการเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1992 แต่ยังคงชื่อไว้กองทัพเรือจนกระทั่งชื่อถูกจำหน่ายออกในเดือนมกราคม 1995 ในปี 1998 เรือถูกบริจาคให้กับสมาคมอนุสรณ์ ยูเอสเอส มิสซูรี และกลายเป็นพิพิธภัณฑ์เรือที่ท่าเรือเพิร์ลในรัฐฮาวาย
วันชัยเหนือญี่ปุ่น (Victory over Japan Day, V-J Day) หรือวันชัยในแปซิฟิก (Victory in the Pacific Day, V-P Day) เป็นวันที่ประเทศญี่ปุ่นยอมจำนนในสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้ยุติสงคราม คำนี้ใช้กับวันที่มีการประกาศการยอมจำนนของญี่ปุ่นในขั้นต้น คือ บ่ายวันที่ 15 สิงหาคม 1945 ในประเทศญี่ปุ่น และด้วยข้อแตกต่างของเขตเวลา จึงหมายถึงวันที่ 14 สิงหาคม 1945 (เมื่อมีการประกาศในสหรัฐอเมริกาและทวีปอเมริกาและหมู่เกาะแปซิฟิกตะวันออกที่เหลือ) เช่นเดียวกับวันที่ 2 กันยายน 1945 ซึ่งมีการลงนามตราสารยอมจำนนอันยุติสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการ
วันที่ 15 สิงหาคมเป็น V-J Day อย่างเป็นทางการสำหรับสหราชอาณาจักร ขณะที่พิธีฉลองอย่างเป็นทางการของสหรัฐ คือ วันที่ 2 กันยายน ในประเทศญี่ปุ่น วันที่ 15 สิงหาคมปกติเรียก “วันอนุสรณ์การยุติสงคราม” (Shūsen-kinenbi) ทว่า ชื่ออย่างเป็นทางการของวันดังกล่าว คือ “วันอาลัยผู้เสียชีวิตในสงครามและภาวนาเพื่อสันติภาพ” (Senbotsusha o tsuitōshi heiwa o kinensuru hi) ชื่ออย่างเป็นทางการดังกล่าวมีมติเห็นชอบใน 1982 โดยพระราชกฤษฎีกาของรัฐบาลญี่ปุ่น
ผู้คนมากกว่าหนึ่งล้านคนเฉลิมฉลองบนท้องถนนทั่วสหราชอาณาจักรเพื่อเป็นการยุติสงครามในยุโรป ในลอนดอนฝูงชนจำนวนมากที่จัตุรัสทราฟัลการ์และขึ้นห้างสรรพสินค้าไปยังพระราชวังบัคกิงแฮมซึ่งกษัตริย์จอร์จที่ 6และราชินีเอลิซาเบ ธพร้อมด้วยลูกสาวและนายกรัฐมนตรี วินสตันเชอร์ชิลปรากฏตัวที่ระเบียงของพระราชวังต่อหน้าฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์ เชอร์ชิลล์เดินจากพระราชวังไปยังไวท์ฮอลล์ซึ่งเขาพูดกับฝูงชนจำนวนมาก
“ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน นี่คือชัยชนะของคุณ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเราเราไม่เคยเห็นวันที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ทุกคนชายหรือหญิงทำดีที่สุดแล้ว”
สหราชอาณาจักรฉลองชัยชนะในทวีปยุโรปวันวันที่ 8 พฤษภาคมเป็นวันหยุดที่ระลึกชาติ วัน VE ไม่ใช่วันหยุดราชการประจำปีเนื่องจากใกล้วัน หยุดธนาคารในวันจันทร์ในวันจันทร์แรกของเดือนพฤษภาคม ในปี 1995 และ 2020 วันหยุดของธนาคารได้ย้ายจากวันจันทร์ก่อนหน้าไปเป็นวันที่ 8 พฤษภาคมเพื่อเป็นการระลึกถึงวันครบรอบปีที่ 50 และ 75 ของวัน VE ตามลำดับ