Google ระบุว่า “ยาขอบ” เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2450 ซึ่งในช่วงวัยเด็กประสบความยากลำบาก แต่ภายหลังก็สามารถเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อแวดวงวรรณกรรมไทยได้ เป็นทั้งนักเขียน คอลัมนิสต์ และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งได้รับการยกย่องจากคนในแวดวงในยุคนั้น
ประวัติ นายโชติ แพร่พันธุ์
ยาขอบ เกิดเมื่อวันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2450 ที่บ้านของ คุณนายจันทร์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลโรงเลี้ยงเด็กของ พระวิมาดาเธอพระองค์เต้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏฯ ที่ยศเส กรุงเทพฯ โดยบิดาของยาขอบ คือ เจ้าอินทร์แปลง ผู้มีเชื้อสายเจ้าเมืองแพร่ สกุลเทพวงศ์ ซึ่งเคยไปอาศัยอยู่ใน วังดำรงสถิต ของสมเด็จพระบรม เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มารดาของยาขอบชื่อจ้อย เป็นต้นห้องของหม่อมเฉื่อย ในกรมพระยาดำรงราชานุภาพ บิดาและมารดาของยาขอบนั้นไม่ได้แต่งงานกันตามประเพณี เมื่อเจ้าอินทร์แปลงสำเร็จการศึกษาก็ได้เดินทางกลับเมืองแพร่ ต่อมาได้สมรสกับเจ้าหญิงเทพเกษร ธิดาแห่งเจ้าเมืองน่าน
เมื่อความเป็นเช่นนี้มารดาของยาขอบ จึงกลัวอาญา ได้ออกจากวังดำรงสถิต ไปคลอดยาขอบที่บ้านคุณนายจันทร์ โดยของร้องให้เรื่องนี้เป็นความลับ ครั้นที่บิดาของยาขอบยังอยู่ได้ให้ชื่อลูกชายไว้ว่า “อินทรเดช” แต่ด้วยทิฐิของ และ ความเกลียดชัง มารดาของยาขอบจึงตั้งชื่อว่า “โชติ”
เมื่อจะเข้าโรงเรียนนั้นจึงจำเป็นที่ยาขอบต้องมีนามสกุล มารดาจึงได้ขอให้คุณนายจันทร์ พาบุตรชายไปยังวัง ดำรงสถิต เพื่อขอประทานนามสกุลจาก สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งได้ประทานนามสกุลแก่ยาขอบ ว่า “แพร่พันธุ์”
แม้ต่อมา เจ้าอินทร์แปลง ผู้เป็นบิดาพยายามที่จะตามหายาขอบเพียงใด มารดาของยาขอบก็กีดกันไม่ให้พบ และ ไม่ยอมที่จะรับความช่วยเหลือใดๆ จนแม้เมื่อเจ้าอินทร์แปลงสิ้นชีวิตลง มารดาก็ไม่ยอมให้ยาขอบได้ไป ร่วมฌาปนกิจบิดา
การศึกษา
เมื่อปี พ.ศ. 2456 ยาขอบมีอายุได้ 6 ขวบ จึงเป็นวัยที่ต้องเข้าศึกษา จึงได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ด้วยที่ยาขอบเป็นเด็กที่ซน และ ดื้อมาก จึงโดนเฆี่ยนอยู่เสมอ และ ที่โรงเรียนเทศิรินทร์ ยาขอบยังเคยสอบตกซ้ำชั้น และ เรียนช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ในปี พ.ศ. 2465 ขณะที่ยาขอบศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ยาขอบได้เกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรงกับ อาจารย์ประจำชั้น คือ ครูถนิม เลาหะวิไล อย่างรุนแรง โดยครูถนิม ได้ถามว่า ธรรมะ คืออะไร ยาขอบได้ตอบคำถามครูว่า ธรรมะ คือ คุณากร! เมื่อยาขอบถูกลงโทษจึงได้คิดถือโกรธแค้นเคือง วันต่อมาจึง ปลดหมวกของครูลงพื้น แล้วได้เหยียบย่ำสมใจ จึงเป็นเหตุที่ทำให้ยาขอบต้องออกจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ตั้งแต่นั้นมา
ยาขอบได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงม้า และ ขี่ม้ามาตั้งแต่เล็กๆ เนื่องด้วยมารดาได้เข้าไปอยู่ในอุปการะ ของ หม่อมเจ้าจุลดิศ ดิศกุล ณ วังสำเพ็ง และ ทรงมีคอกม้าส่วนพระองค์
เมื่อบั้นปลายชีวิตของมารดา ได้นำยาขอบไปฝากไว้กับ พันตำรวจเอก พระยาบริหารนครินทร์
ประวัติงาน
ยาขอบ ได้หนีออกจากบ้านของพระยาบริหารนครินทร์ ในวันที่ได้รับเงินค่าเล่าเรียน 40 บาท และ ได้ใช้เดินทางเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนเงินหมดจึงเริ่มทำงานชิ้นแรก คือ รับจ้างจูงวัวจากหัวลำโพงไปถนนตก ได้ค่าแรง ตัวละสลึง แต่ทำได้ไม่กี่เที่ยวก็เลิก จากนั้นไปอาศัยอยู่กับอาแท้ๆ แถวศาลาแดง ชื่อ จีบ มีอาชีพเป็นเจ้าสำนักทรงเจ้าเข้าผี โดยยาขอบมีกิจวัตรประจำวัน คือ อ่านหนังสือประโลมโลกย์ให้เขาฟัง และ เคยถูกบังคับให้เป็นคนทรงด้วย แต่ด้วยที่ยาขอบเห็นเป็นอาชีพหลอกลวง จึงได้หนีออกมาไปนอนเร่ร่อนตามคอกม้ากับบรรดาเด้กขี่ม้าที่ชอบใจกัน
ต่อมาได้มีโอกาสดูแล ฝึกซ้อมจนสามารถขี่ม้าแข่งได้ด้วยตนเอง เวลาที่ว่างจากการซ้อมแข่งม้า ก็ไปวิ่งวัว วิ่งรอก ว่าวจุฬากลางทุ่งศาลาแดง และ วนเวียนไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ หลังโรงเรียนเลิกแล้วที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ พอ เล่นเสร็จก็กลับไปสู่คอกม้า ต่อมา ม.ล.ต๋อย ม.ล.ต้อย และ ม.ล.ตุ้ย ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้เคยได้ร่วมชั้นเรียนเดียวกัน จึงขออนุญาตบิดา มารดา ให้นายโชติ แพร่พันธุ์ ยาขอบ ในวัย 13 ปีกว่าๆ เข้าไปอยู่ที่บ้านด้วย
เมื่อชีวิตที่เคยชินกับการโลดโผนสนุกสนานไปตามอารมณ์นั้นค้องมาอยู่ในกรอบบ้านที่เป็นระเบียบ ชีวิตสงบเงียบ ยาขอบจึงเริ่มเบื่อหน่าย จึงขอออกจากบ้านหลังนั้นมา จนวันหนึ่ง เดินอยู่ที่ถนนเจริญกรุงตอนล่าง ถึง ริมฝั่งแม่น้ำ ยาขอบได้ยินคนแจวเรือจ้างพูดถึงเรื่องฝากตัวบุตรไปไว้ในอุปการะของพระยาพิทักษ์ภูบาล ซึ่งกำลังจะตามเสด็จ องค์ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ไปบางประอิน ยาขอบจึงเห็นว่าการที่จะได้ตามไปบางประอินนั้น จะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับองค์ล้นเกล้า จึงขอติดตามสมัครไปด้วยเป็นเด็กรับใช้พระยาพิทักษ์ภูบาล โดยเมื่อพระยาพิทักษ์ภูบาล ได้ทราบว่า
[tds_council]ยาขอบเคยอยู่กับพระยาบริหารนครินทร์ มาก่อน จึงรับไว้ทันที ซึ่งณะนั้นยาขอบมีอายุประมาณ 15-16 ปี
[/tds_council]ด้วยความเฉลียวฉลาด คล่อแคล่ว ทำให้ได้รับเมตตาใช้สอยใกล้ชิด รวมทั้งมีหน้าที่อ่านหนังสือให้ฟัง หรือเขียนตามคำบอก จนมีอายุได้ 17 ปีเต็มซึ่งต้องไปขึ้นทะเบียนทหาร พระยาพิทักษ์ภูบาลจึงนำตัวไปเป็นสารวัตรทหาร สำหรับติดตามรับใช้ต่อไป ครั้นในสมัยรัชกาลที่๗ ประเทศไทยประสบภาวะเศรษกิจ อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ ของโลกถดถอยลงจากภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 พระยาพิทักษ์ภูบาล ได้ถูกดุลออกจากราชการ มาประกอบอาชีพ ค้าขาย ซึ่งยาขอบได้ช่วยอยู่ระยะหนึ่งจึงได้ลาออกมา
ในขณะที่เร่ร่อนอยู่นั้น ยาขอบบังเอิญได้ไปพบกับครูถนิม เลาหะวิไล ครูเก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์ที่ยาขอบได้เคยมีการโต้เถียงอย่างรุนแรง จนต้องออกจากโรงเรียน ครูถนิม เลาหะวิไล ได้นำยาขอบ ไปฝากเข้าทำงานที่ ร้านพร้อมภัณฑ์ของคุณพร้อม วีระสัมฤทธิ์ ซึ่งกำลังออกหนังสือการเมืองรายสัปดาห์ชื่อ “สยามรีวิว” โดย ครูถนิม เลาหะวิไล เป็นบรรณาธิการ ยาขอบมีหน้าที่เขียนตามคำบอกของคุณพร้อม วีระสัมฤทธิ์ ที่มีสุขภาพไม่ดีในอัตราค่าจ้างเดือน ละ 15 บาท แต่ทำงานอยู่ได้แค่ 12 วัน ยาขอบหยุดงานไปโดนไม่ลา จึงถูกให้ออกจากงาน
จากนั้นได้ไปขอทำงานที่หนังสือพิมพ์ธงไทย ของเพื่อนคือ เฉวียง เศวตะทัต ในฐานะผู้สื่อข่าว ซึ่งนับว่าเป็นโอกาส ครั้งแรกที่ได้เขียนหนังสือ และ ได้มีส่วนรายงานข่าวแบบใหม่เหมือนวรรณกรรมข่าว จนเป็นที่พอใจมากของผู้เป็นบรรณาธิการ แต่หนังสือพิมพ์ธงไทย ก็ต้องปิดตัวเองลงเมื่อ พ.ศ. 2470 ขณะนั้นยาขอบมีอายุได้ 20 ปี
หลังตกงานได้มีมิตรผู้ใหญ่ ไปฝากทำงานที่ห้างขายยาเพ็ญภาค ในระหว่างนั้นยาขอบก็ยังคบหากับเพื่อนโรงเรียน เทพศิรินทร์ที่ได้เป็นนักเขียนหลายคนแล้ว เช่น ศรีบูรพา – กุหลาบ สายประดิษฐ์, เฉลียง เศวตะทัต, ป่วน บูรณศิล ปิน, สด กูรมะโรหิต, เปลื้อง ณ นคร เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2472 ศรีบูรพา – กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้จัดตั้งคณะนักเขียนสุภาพบุรุษ ออกหนังสือสุภาพบุรุษรายปักษ์ มีคราวหนึ่งครูอบ ไชยวสุ หรือ ฮิวเมอรืริสต์ มีเหตุจำเป็นไม่สามารถส่งต้นฉบับเรื่องตลกประจำเล่มได้ ศรีบูรพา ได้เห็นว่ายาขอบ เป็นผู้มีอารมร์ขันอยู่มาก จึงเคี่ยวเข็ญให้เขียนเรื่องมาลงแทน พร้อมกับได้ตั้งนามปากกาให้ว่า ยาขอบ
นามปากกา “ยาขอบ” นี้ เลียนแบบมาจากนักเขียนเรื่องตลกชาวอังกฤษที่ชื่อ เจ.ดับบิว.ยาค็อบ ทำให้เกิดงานประพันธ์ ชิ้นแรกขั้นในนามยาขอบ ชื่อเรื่องว่า จดหมายเจ้าแก้ว
ขณะที่ยาขอบ ทำงานอยู่ที่ห้างขายยาเพ็ญภาค เป็นปีที่ 5 นั้น ก็ต้องลาออกเพราะว่าเกิดไปมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับน้อง สาวสุดที่รักของ นาย ห้า คือ คุณจรัส ซึ่งได้เป็นภรรยาคนแรกของยาขอบ จนมีบุตร คือ นาย มานะ แพร่พันธุ์ ผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บ้านเมืองรายวัน ต่อมานั้นยาขอบได้มีภรรยาอีกหลายคน คือ คุณสงวนศรี, คุณ ชลูด, คุณประกายศรี ศรุตานนท์
ในปี พ.ศ. 2474 เมื่อออกจากงานที่ห้างขายยาเพ็ญภาค ก็ได้ไปเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายวัน ชื่อว่า สุริยา และได้เริ่มต้นเขียนอมตนิยายปลอมพงศาวดารเรื่องยอดขุนพล ในนามยาขอบ ที่นี่ โดยยาขอบได้อาศัยเค้าเรื่องจาก พงศาวดารเพียง 8 บรรทัด แต่เขียนได้ไม่นานหนังสือพิมพ์สุริยาก็ปิดกิจการลง
ต่อมาเมื่อนายกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ ศรีบูรพา ไปทำหนังสือพิมฑ์ประชาชาติ ในปี พ.ศ. 2475 ยาขอบได้ถูก กำหนดให้เขียนเรื่องยอดขุนพลต่อไปอีก แต่เรียมเอง นายมาลัย ชูพานิช ได้เปลี่ยนชื่อเรื่องให้ใหม่เป็นผู้ชนะสิบทิศ โดยเริ่มพิมพ์ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 จนจบภาคหนึ่ง เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 และ ลง พิมม์ต่อเนื่องได้ 4 ปี ก็หยุดอีกครั้ง ต่อมาจึงไปต่อตอนที่หนังสือพิมพ์สยามนิกร ยังไม่ทันจบก็ต้องหยุดอีก และ หยุดลงจนยาขอบได้เสียชีวิตลง
แม้นวนิยายผู้ชนะสิบทิศ ที่ยาขอบประพันธ์ยังไม่จบลง แต่ผู้ชนะสิบทิศที่ยาขอบได้เสกสรรค์นี้ ได้รับความนิยมจากผู้อ่านมากที่สุด มาทุกยุคทุกสมัย และ ผู้ชนะสิบทิศนี้ เป็น บทประพันธ์ที่ทำให้ ชื่อของยาขอบ ติดตรึงอยู่บนฟากฟ้า ทำเนียบนักประพันธ์ไทยไปตลอดกาล
อย่างไรก็ตามยังคงมีหลักฐานปรากฏไว้ว่า ยาขอบได้เริ่มเขียนนวนิยายเรื่องแรก แล้วพิมพ์จำหน่ายเป็นเล่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2471 ชื่อ มารหัวใจ โดยใช้นามปากกาว่า กฤษณา และเริ่มเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ อารมร์ โดยใช้นามจริง ลงในหนังสือช่วยกาชาด เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2475 นอกจากนั้ยังมีบทประพันธ์พวกเรื่องแปล ร้อยกรอง สารคดี บทความ และอื่นๆอีกมากมาย
ยาขอบเป็นคนที่ ชอบดื่มสุราอย่างหนัก แต่เวลาจะเขียนเรื่องนั้นยาขอบจะไม่ดื่มสุราเลย แต่จะสูบบุหรี่จัด และพิถีพิถันในงานเขียนทุกเรื่อง โดยเขียนหวัดแกมบรรจง ใช้หมึกสีน้ำเงินลงบนกระดาษสีชมพู และมุมระดาษทุกแผ่นจะต้องมีชื่อ ยาขอบ อยู่ด้วย
นายกสมาคมหนังสือพิมม์
ยาขอบยังเคยได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้รับเชิญเป็นกรรมการวางหลักสูตรวิชาหนังสือพิมพ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหารหนังสือพิมพ์ประชามิตรรายสัปดาห์ และยังเคยได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดพระนคร เมื่อ พ.ศ. 2490 แต่สอบไม่ได้
ชีวิตปั้นปลาย
ยาขอบเป็นผู้ดำรงชีวิตสำราญสำเริงตลอดเวลา ยึดปรัญชาการให้คือความสุข ยาขอบไม่เป็นคนสะสมทรัพย์ เมื่อมีเงินทองเท่าไรก็นำไปเลี้ยงดูและแบ่งปันกับมิตรสหายจนหมด แม้แต่บ้านของตัวเองจริงๆ ก็ยังไม่มีจะอยู่ ได้แต่ยึดเอาที่ทำงานเป็นที่พักอาศัย รวมทั้งรักการดื่มสุรายิ่งกว่าสิ่งใด แม้จะเป็นคน ที่มีกิริยาสุภาพ อ่อนโยน มีเสน่ห์ ภรรยาทุกคนของยาขอบล้วนแล้วแต่สวยงามและดีพร้อม แต่ภรรยาก็ไม่สามารถทนยาขอบได้ จนระอา หนีไปกันหมด เหลือเพียง คุณประภาศรี ศรุตานนท์ ที่คอยเป็นเพื่อนรักษาพยาบาลเท่านั้น เพราะตั้งแต่หลัง พ.ศ. 2492 ยาขอบมีสุขภาพทรุดโทรมมากด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง จนถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2499 สิริรวมอายุได้ 48 ปี 10 เดือน 2 วัน
[tds_council]ในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 จอมพลแปลก พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีได้มาเป็นประธานในพิธีณาปนกิจศพของยาขอบ
[/tds_council]นามปากกา
ยาขอบ , กรทอง , ช.ช้าง , กฤษณา
ที่มา – thaiwriterassociation