เอาล่ะทุกคน ยุคแห่งความเพลิดเพลินได้หมดลงแล้ว Netflix ได้ยกเลิกการแชร์รหัสผ่านฟรีอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา ใครที่มีบัญชี Netflix อาจจะได้รับอีเมลการเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว และหากคุณยืมบัญชีของคนอื่นมาใช้อาจจะพบว่าตัวเองไม่สามารถรับชมได้ต่อไป ผู้คนต่างแสดงความไม่พอใจ บางส่วนถึงขนาดยกเลิกบริการไปเลยทีเดียว
แน่นอนว่ากฎใหม่นี้ไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก แต่ข่าวดียังมีอยู่บ้าง เรายังคงมีวิธีการหลีกเลี่ยงข้อกำหนดเหล่านี้สำหรับใครที่ไม่สะดวกใจจะเสียเงินเพิ่มให้ Netflix เพื่อแบ่งปันรหัสผ่าน
Netflix จะหยุดการแชร์รหัสผ่านได้อย่างไร?
โดยสรุป นโยบายใหม่ของ Netflix ก็คือ “บัญชี Netflix หนึ่งบัญชีสำหรับการใช้งานภายในบ้านเดียวกัน” เหมือนในสมัยพระคัมภีร์ไบเบิ้ลยังไงยังงั้น ตามกฎของ Netflix ใครก็ตามที่อยู่นอกบ้านหลังนั้นจะต้องมีบัญชีเป็นของตัวเองหรือต้องจ่ายเงินเพื่อรับสิทธิพิเศษในการใช้บัญชีคนอื่น
และเตรียมตัวจ่ายเลยละ เพราะ Netflix เรียกเก็บเงิน $7.99 ต่อเดือนสำหรับสมาชิกพิเศษแต่ละคน ซึ่งเงินจำนวนนี้เพียงพอสำหรับสมัครแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอื่นๆ ได้แล้ว (อย่างเช่น Peacock
ที่ให้บริการดีอย่างน่าประหลาดใจ แถมค่าสมัครก็ถูกกว่า $8 ด้วย)
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อจำกัดมากมายในการเพิ่มบัญชีสมาชิกพิเศษ อันดับแรก คุณต้องสมัครแพ็คเกจ Standard หรือ Premium ที่แพงกว่าเท่านั้นถึงจะทำได้ ส่วนแพ็คเกจ Standard แบบมีโฆษณาและ Basic ไม่มีตัวเลือกนี้ด้วยซ้ำ ที่แย่ไปกว่านั้นคือสมาชิกแพ็คเกจ Standard สามารถเพิ่มสมาชิกพิเศษได้เพียงหนึ่งคน ในขณะที่แพ็คเกจ Premium เพิ่มได้สองคน เห็นได้ชัดว่า Netflix ไม่ต้องการให้คุณเพิ่มคนเข้าบัญชีมากเกินไป แม้ว่าคุณจะยอมจ่าย $8 ต่อคนก็ตาม
สมาชิกพิเศษแต่ละคนสามารถสตรีมและดาวน์โหลด content ลงอุปกรณ์ได้เพียงหนึ่งเครื่องต่อครั้ง และมีได้เพียงหนึ่งโปรไฟล์ แต่สามารถโอนย้ายโปรไฟล์เดิมของพวกเขาไปยังบัญชีสมาชิกพิเศษใหม่ได้ โดยพื้นฐานแล้ว Netflix ต้องการให้ประสบการณ์การใช้งานเลวร้าย เพื่อที่เพื่อนของคุณจะถอดใจและสมัครสมาชิกของตัวเองไปซะ เพราะผู้คนย่อมซื้อสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจอีกครั้งในราคาที่สูงขึ้น จริงไหม?
Netflix จะตรวจสอบ “ครัวเรือน” ได้อย่างไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณเป็นสมาชิกใน “ครัวเรือน” Netflix ของเจ้าของบัญชีหรือไม่ ซึ่ง Netflix จะตรวจสอบผ่านทีวีที่คุณใช้รับชม โดยเมื่อคุณเข้าสู่ระบบหรือสตรีมเนื้อหาผ่านแอป Netflix บนสมาร์ททีวีหรือกล่องสตรีมมิ่ง กล่องใดกล่องหนึ่งนั้น Netflix จะถือว่าทีวีเครื่องดังกล่าวเป็นจุดศูนย์กลางของครัวเรือน และอุปกรณ์ทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi เดียวกันก็คือสมาชิกของครัวเรือนนั้น นอกจากนี้ ยังมีขั้นตอนยืนยันว่าทีวีของคุณอยู่ในครัวเรือนอีกด้วย เช่น การสแกน QR code เพื่อยืนยันบัญชี
Netflix ระบุว่าจะใช้ที่อยู่ IP ID อุปกรณ์ และกิจกรรมของบัญชีจากอุปกรณ์ที่ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Netflix ของคุณเพื่อพิจารณาว่าอุปกรณ์สตรีมเนื้อหาภายในครัวเรือนหรือไม่ อีกทั้งเขายังยืนยันด้วยว่าไม่ได้ใช้ GPS ในการติดตามตำแหน่งของคุณ (ใจดีจัง!)
วิธีหลบหลีกข้อจำกัด “ครัวเรือน” ของ Netflix และแชร์รหัสผ่าน
มีวิธีหลักๆ อยู่สองวิธีที่ทำได้ในตอนนี้ ข้อแรก ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi ภายในบ้านจะไม่ถูก Netflix จับผิด ให้คุณไปบ้านของเจ้าของบัญชี ลงชื่อเข้าใช้บนอุปกรณ์ของคุณ แล้วค่อยกลับบ้าน คุณก็น่าจะรับชมได้โดยไม่มีปัญหา Netflix น่าจะมีการกำหนดให้เชื่อมต่อใหม่ในอนาคต แต่ตอนนี้ถือว่าคุณยังสามารถรับชมได้อยู่
อย่าดู Netflix บนทีวีหรือกล่องสตรีมมิ่ง
วิธีที่สองอาศัยช่องโหว่ในนโยบายของ Netflix นั่นคือ หากคุณไม่รับชม Netflix บนสมาร์ททีวีหรือกล่องสตรีมมิ่ง หรือ Apple TV คุณจะไม่จำเป็นต้องตั้งค่าครัวเรือนสำหรับบัญชีของคุณ
ตราบใดที่คุณสตรีมผ่านอุปกรณ์อย่างโทรศัพท์ แท็บเล็ต และแล็ปท็อป คุณจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย การแคสต์ภาพจากโทรศัพท์ไปยังทีวี หรือการเชื่อมต่อแล็ปท็อปเข้ากับทีวีผ่านสาย HDMI จะช่วยให้คุณรับชมบนจอใหญ่ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
แน่นอนว่าวิธีนี้ไม่ดีนักถ้าคุณต้องการรับชม Netflix บนหน้าจอทีวีโดยตรงโดยไม่ต้องยุ่งยากกับการเชื่อมต่อ แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันคงเลือกที่จะต่อแล็ปท็อปเข้ากับทีวีดีกว่าจ่ายให้ Netflix อีก ด้วยความไม่พอใจแบบนี้ ฉันไม่อยากจะจ่ายสักบาทเดียวด้วยซ้ำ!