สุขภาพ

ไซโคพาธ (Psychopath) คืออะไร? เข้าใจจิตใจและการอยู่ร่วมอย่างปลอดภัย

แม้ว่าคนจำนวนมากจะคุ้นหูกับคำว่า “โรคจิต” หรือ “ไตรวงจรในสมองผิดปกติ” แต่เมื่อพูดถึงไซโคพาธ (Psychopath) หลายคนอาจจะยังงุนงงว่านี่คืออะไร มีลักษณะต่างจากผู้ป่วยทางจิตเวชรูปแบบอื่นอย่างไร และที่สำคัญคือมีวิธีป้องกันหรือรับมือได้หรือไม่ บทความนี้จะทำหน้าที่เป็นเพื่อนที่พร้อมเล่าเหตุผลและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโลกของไซโคพาธ เพื่อให้คุณเข้าใจและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

ผู้ที่มีภาวะบุคลิกภาพต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) ในระดับรุนแรงเช่นไซโคพาธ มักมีพฤติกรรมที่น่ากังวล หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมบางคนจึงดูไร้ความเห็นอกเห็นใจหรือไม่สำนึกผิดแม้จะทำสิ่งร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง บ้างก็มีเสน่ห์ดึงดูดในระดับที่คนรอบข้างคาดไม่ถึง ว่าจริงๆ แล้วในจิตใจอาจเก็บงำความรุนแรงและไร้มโนธรรมอยู่

เพื่อไขคำถามทั้งหมดเกี่ยวกับไซโคพาธ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงความหมายของไซโคพาธ สัญญาณอาการ วิธีรับมือ รวมถึงข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่น่าสนใจ หวังว่าภาพรวมทั้งหมดจะช่วยให้คุณได้มองเห็นโรคนี้อย่างรอบด้าน พร้อมสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์ทั้งในการดูแลตัวคุณเอง และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสังคม

ทำความเข้าใจความหมายของ “ไซโคพาธ”

ไซโคพาธ (Psychopath) คืออะไร? เข้าใจจิตใจและการอยู่ร่วมอย่างปลอดภัย

คำว่า “ไซโคพาธ” (Psychopath) มาจากรากศัพท์ที่บ่งบอกถึงความผิดปกติด้านจิตใจ มักใช้อธิบายบุคคลที่มีลักษณะขาดความเห็นอกเห็นใจ ไร้ความสำนึกผิด และมักกระทำพฤติกรรมรุนแรงต่อตนเองหรือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง หลายคนเข้าใจว่าไซโคพาธคือคำที่หมายถึง “ฆาตกรต่อเนื่อง” ทั้งหมด หรือเป็นคนอันตรายขั้นสุดเสมอไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลายคนที่มีแนวโน้มเป็นไซโคพาธอาจไม่ถึงขั้นลงมือก่ออาชญากรรมรุนแรง แต่จะมีพฤติกรรมหรือบุคลิกที่ละเมิดกฎสังคมอย่างชัดเจน

ไซโคพาธมักถูกรวมอยู่ในกลุ่มอาการ “บุคลิกภาพต่อต้านสังคม” (Antisocial Personality Disorder: ASPD) หากมองในเชิงวิทยาศาสตร์ มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ค้นพบความผิดปกติในสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) และอะมิกดาลา (Amygdala) ซึ่งทำให้การควบคุมอารมณ์และการประมวลผลด้านความรู้สึกเห็นอกเห็นใจบกพร่อง ผู้ป่วยจะขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่เกรงกลัวกับผลลัพธ์ของการกระทำ และภาวะเหล่านี้ล้วนมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็กหรือตอนต้นวัยรุ่น

บทความที่เกี่ยวข้อง
Advertisement

ลักษณะสำคัญของไซโคพาธที่ควรรู้

  1. ขาดความเห็นอกเห็นใจ: จุดเด่นของผู้ที่มีภาวะไซโคพาธคือ ความเย็นชาและการไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น พวกเขาอาจทำร้ายร่างกายหรือเหยียดหยามเหยื่อทางวาจา โดยไม่สะทกสะท้านหรือแสดงความสำนึกเสียใจใดๆ
  2. มีเสน่ห์ โน้มน้าวเก่ง: แม้ว่าภายในอาจเย็นชา แต่หลายคนที่เป็นไซโคพาธมีบุคลิกภายนอกที่ดึงดูด เช่น พูดจาเก่ง หรือมีความมั่นใจสูงในลักษณะที่ทำให้คนรอบข้างชื่นชอบและหลงเชื่อได้ง่าย
  3. ไม่รู้สึกผิด: การกระทำไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นไซโคพาธมักหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองหรือแก้ต่างว่าเป็นความผิดคนอื่น พวกเขาขาดความละอายและไม่รู้สึกผิดกับผลลัพธ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น
  4. พฤติกรรมต่อต้านสังคม: ไซโคพาธมักละเมิดกฎ ระเบียบ หรือค่านิยมของสังคมอย่างต่อเนื่อง อาจโกหก หลอกลวง ขโมย หรือใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัว
  5. เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง: การมองทุกอย่างให้เอื้อต่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญ คนกลุ่มนี้ต้องการให้คนอื่นทำตามที่ตนต้องการ และไม่ใส่ใจผลกระทบที่จะเกิดกับผู้อื่น

สาเหตุและปัจจัยกระตุ้นการเกิดไซโคพาธ

พันธุกรรม

ผลการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมศาสตร์ชี้ว่ามีปัจจัยทางพันธุกรรมหรือยีนบางชนิดที่สัมพันธ์กับแนวโน้มการเป็นไซโคพาธ การมีคนในครอบครัวที่มีบุคลิกภาพต่อต้านสังคมหรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไซโคพาธอาจส่งผลทำให้รุ่นลูกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

ความผิดปกติของสมอง

กรณีที่สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) และอะมิกดาลามีความบกพร่องในการทำงาน จะกระทบต่อการควบคุมอารมณ์และการตอบสนองด้านศีลธรรม นำไปสู่ลักษณะของไซโคพาธได้ ทั้งยังมีปัจจัยอื่นเกี่ยวกับโครงสร้างสมองและสารเคมีที่ส่งสัญญาณประสาทด้วย

สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู

การถูกทารุณกรรมหรือถูกทอดทิ้งตั้งแต่วัยเด็ก หรือการถูกเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสม สามารถเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เด็กเติบโตมาด้วยพฤติกรรมที่ขาดความยับยั้งต่อการใช้ความรุนแรงหรือการกระทำที่ไม่เกรงกลัว ถูกบ่มเพาะให้ไม่เข้าใจถึงระบบคุณค่าและศีลธรรมทางสังคม

ปัจจัยด้านบุคลิกภาพแต่กำเนิด

คนที่มีแนวโน้มโกรธง่าย เบื่อเร็ว หรือครอบงำผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ อาจพัฒนาไปสู่ภาวะไซโคพาธได้ในระยะยาว หากไม่ได้รับการควบคุมหรือแก้ไขด้านพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่นๆ

ความแตกต่างระหว่าง “ไซโคพาธ” กับ “โซซิโอพาธ”

หลายคนมักสับสนระหว่าง “ไซโคพาธ” (Psychopath) และ “โซซิโอพาธ” (Sociopath) แม้ว่าทั้งสองจะจัดอยู่ในกลุ่มบุคลิกภาพต่อต้านสังคมเหมือนกัน แต่ยังมีจุดต่างที่น่าสนใจ

หัวข้อไซโคพาธโซซิโอพาธ
ลักษณะอารมณ์เย็นชาเป็นทุนเดิม ขาดความยับยั้งชั่งใจแปรปรวนตามสิ่งแวดล้อมหรืออารมณ์
สภาพสมองมีข้อมูลว่าเกี่ยวพันกับความผิดปกติของสมองผ่านการเรียนรู้หรือเงื่อนไขภายนอกเป็นหลัก
พฤติกรรมวางแผนล่วงหน้า มีสติในการทำร้ายส่วนใหญ่อาจขาดแผน ใช้อารมณ์นำ
เสน่ห์ภายนอกสูงมาก มีความปลอมที่แนบเนียนอาจไม่ได้มีเสน่ห์มากแต่ก็อาจใช้การหลอกลวง

แม้ว่าทั้งไซโคพาธและโซซิโอพาธจะมีพฤติกรรมคล้ายกัน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าไซโคพาธมีแนวโน้มทำร้ายผู้อื่นได้รุนแรงกว่า และมีสติคำนวณอย่างรอบคอบ จึงยิ่งยากที่จะเอาผิดหรือคาดเดาพฤติกรรม

เกณฑ์การวินิจฉัยในเชิงจิตเวช

ผู้ที่มีลักษณะเป็นไซโคพาธมักถูกประเมินผ่านเกณฑ์วินิจฉัย “บุคลิกภาพต่อต้านสังคม” โดยทั่วไปจะต้องใช้เวลาในการสังเกตพฤติกรรมต่อเนื่องและสัมภาษณ์เชิงลึก ทั้งนี้การวินิจฉัยบางครั้งอาจใช้แบบประเมิน (เช่น Hare Psychopathy Checklist) เพื่อพิจารณาคะแนนจากหลากหลายด้าน เช่น

  • ความสามารถในการพูดโกหกหรือตบตา
  • การขาดความสำนึกผิด
  • การขาดความเห็นใจ
  • พฤติกรรมก้าวร้าวอย่างต่อเนื่อง
  • การไม่ยอมรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง

ถ้าคะแนนผ่านเกณฑ์ระดับหนึ่งขึ้นไป จึงเข้าข่ายภาวะบุคลิกภาพต่อต้านสังคม ทั้งนี้ ความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันไปตามบุคคล บางรายอาจไม่มีประวัติก่อคดีอาชญากรรม แต่มีพฤติกรรมการหลอกลวง การทุจริต การแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่นอย่างเป็นระบบ

ไซโคพาธ อันตรายเสมอไปหรือไม่?

ภาวะไซโคพาธไม่จำเป็นต้องเท่ากับความรุนแรงเสมอไป แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะขาดความเห็นใจและขาดความสำนึกผิด แต่หลายคนกลับมีลักษณะภายนอกที่น่าดึงดูด เข้าสังคมเก่ง ประสบความสำเร็จในอาชีพด้วยทักษะการพูดและการวางแผนที่เหนือคนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม หากลงมือกระทำสิ่งผิดกฎหมาย ก็อาจกลายเป็นอาชญากรที่อันตรายมาก เพราะผู้ป่วยจะขาดความเกรงกลัวผลลัพธ์ การวางแผนละเอียดยิบ และไม่เข็ดหลาบจากการลงโทษ คุณสมบัติ “เย็นชาแต่มีเสน่ห์” นี้ทำให้เข้าไปครองใจหรือครองความไว้วางใจของผู้อื่นได้ง่าย แล้วใช้ประโยชน์จากความเชื่อใจนั้นอย่างเด็ดขาด

ผลกระทบต่อความสัมพันธ์และสังคม

  1. ความสัมพันธ์ส่วนตัว: การคบหาหรือใช้ชีวิตคู่กับคนที่เป็นไซโคพาธอาจพบพฤติกรรมควบคุม บงการ มีความรุนแรงทางวาจาหรืออารมณ์สูง อีกทั้งความคิดเห็นหรือความต้องการของอีกฝ่ายมักถูกละเลย
  2. ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน: ในบางกรณี ไซโคพาธอาจก้าวขึ้นเป็นผู้นำองค์กรหรือประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพราะมีจุดเด่นที่คล่องแคล่ว ฉลาดในการเจรจา และมั่นใจสูง ทีมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาอาจถูกกดดันอย่างร้ายแรง หรือถูกเอาเปรียบเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา
  3. ผลกระทบต่อสังคม: ในระดับใหญ่ ข้อกังวลหลักคือการใช้ความรุนแรง การก่ออาชญากรรม หรือการฝ่าฝืนกฎที่สำคัญต่อสังคม ผู้ที่เป็นไซโคพาธมักไม่สนใจต้นทุนหรือความสูญเสียต่อผู้อื่น ทำให้สังคมต้องรับภาระด้านกฎหมาย การรักษา และการฟื้นฟูด้วย

แนวทางการรักษาและบำบัดผู้ที่เป็นไซโคพาธ

ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่าไซโคพาธเป็นภาวะที่รักษายาก เนื่องจากผู้ป่วยมักไม่สำนึกว่าตนทำผิด อย่างไรก็ตามยังมีหลายแนวทางที่สามารถบรรเทาความรุนแรงของอาการได้

1. การใช้ยา

บางกรณีอาจมีโรคทางจิตเวชอื่นร่วม เช่น โรคซึมเศร้า วิตกกังวล หรือปัญหาบุคลิกภาพอื่นๆ จิตแพทย์อาจพิจารณาให้ยาปรับอารมณ์หรือปรับสารสื่อประสาท เพื่อควบคุมอาการหงุดหงิด ลดพฤติกรรมก้าวร้าว หรือลดภาวะกระวนกระวาย

2. จิตบำบัด

การบำบัดเชิงความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) หรือการบำบัดแบบปรับเปลี่ยนแผนความคิด (Schema Therapy) มักเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ลักษณะสำคัญคือการปรับทัศนคติและแบบแผนพฤติกรรมทีละขั้น เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจผลกระทบต่อผู้อื่นและเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์

3. การปรับพฤติกรรมในเชิงบวก

โดยเฉพาะเมื่อพบอาการผิดปกติตั้งแต่วัยเด็ก อาจใช้วิธีสร้างแรงจูงใจด้วยรางวัล ส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ หรือสนับสนุนให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้การมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น มีงานวิจัยบางส่วนชี้ให้เห็นว่าหากแทรกแซงอย่างถูกวิธีแต่เนิ่นๆ ก็อาจช่วยลดระดับความรุนแรงของอาการเมื่อตอนโตได้

วิธีรับมือเมื่อมีผู้ใกล้ชิดเป็นไซโคพาธ

  1. อย่าเผลอเชื่อทุกอย่าง: คนที่มีพฤติกรรมเป็นไซโคพาธอาจเก่งในการพูดจาหว่านล้อม ตบตา หรือว่าใส่ร้ายผู้อื่น การสร้างเกราะป้องกันตนเองของคุณคือการตั้งข้อสังเกต สอบถามข้อมูลให้รอบด้านก่อนเชื่อทุกคำพูด
  2. ตั้งขอบเขตชัดเจน: หากเป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อนใกล้ชิด ควรกำหนดขอบเขตว่าจะไม่ตกเป็นเหยื่อ เช่น ไม่อนุญาตให้เรียกร้องเกินเหตุ ไม่ยอมรับการกระทำรุนแรง และควรมีการพุดคุยตกลงกันอย่างแน่ชัด
  3. เก็บหลักฐานเมื่อถูกทำร้ายหรือถูกหลอกลวง: หากเกิดกรณีที่อีกฝ่ายกระทำผิดกฎหมายหรือก่อให้เกิดอันตราย การมีหลักฐานชัดเจนจะเป็นวิธีป้องกันภัยให้กับตนเองและเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีหากจำเป็น
  4. ขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพ: เมื่อสถานการณ์รุนแรงหรืออันตรายเกินที่จะรับมือเอง ควรปรึกษานักจิตวิทยา จิตแพทย์ หรือนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญ เพื่อหาวิธีปฏิบัติอย่างเหมาะสม

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับไซโคพาธ

  1. ทุกคนที่เป็นไซโคพาธต้องเป็นฆาตกร: ความจริงคือไม่ใช่ผู้ที่เป็นไซโคพาธทุกคนจะเคยก่อเหตุฆาตกรรม บางคนไม่มีประวัติอาชญากรรมเลย แต่ใช้เสน่ห์และการหลอกลวงในรูปแบบอื่นแทน
  2. เป็นคนฉลาดเหนือมนุษย์: แม้หลายคนจะมีความฉลาดและทักษะสังคมที่ดี แต่บางคนก็ไม่ได้ฉลาดกว่าคนทั่วไป ในบางกรณีอาจเรียนรู้กลยุทธ์มาหลอกลวง หรือเลือกวิธีลัดเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เท่านั้น
  3. รักษาให้หายขาดได้ถ้าเข้ารับการบำบัด: ด้วยลักษณะที่ขาดความตระหนักในความเจ็บปวดของผู้อื่นและไม่มีความละอาย การรักษาให้เปลี่ยนเป็นคนปกติโดยสมบูรณ์มักเป็นเรื่องท้าทาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องได้รับการบำบัดต่อเนื่องและการติดตามตลอด
  4. ผู้ป่วยต้องถูกตัดขาดจากสังคมเท่านั้น: แท้จริงแล้วการบังคับตัดขาดหรือใช้วิธีลงโทษอย่างรุนแรงไม่นำไปสู่การปรับปรุงพฤติกรรมได้อย่างแท้จริง หากจัดการด้วยการช่วยเหลือเชิงจิตวิทยาและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ ก็อาจลดผลกระทบเชิงลบลงได้

วิธีป้องกันหรือลดโอกาสการเกิดไซโคพาธในเด็ก

  1. เลี้ยงดูด้วยความรักและความปลอดภัย: ครอบครัวที่อุดมด้วยความรักและความเข้าใจมักลดโอกาสเกิดพฤติกรรมก้าวร้าว เด็กจะเรียนรู้การเห็นใจผู้อื่นและมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี
  2. สอนให้รู้จักความถูกผิด: การเสริมสร้างจิตสำนึก ค่านิยม และการเคารพสิทธิผู้อื่นผ่านการให้คำแนะนำ การสร้างบทเรียนทางสังคม และการลงมือปฏิบัติจริง จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กเข้าใจผลลัพธ์ของการกระทำ
  3. สังเกตแล้วแทรกแซงตั้งแต่เนิ่นๆ: หากเด็กมีแนวโน้มพฤติกรรมขี้โมโห หุนหันพลันแล่น ชอบรังแกผู้อื่นหรือสัตว์ ควรรีบหาโอกาสปรึกษานักจิตวิทยาเด็ก เพื่อประเมินและฝึกทักษะทางอารมณ์โดยเร็ว
  4. สร้างทักษะการควบคุมอารมณ์: เมื่อเด็กสามารถสื่อสารความโกรธ ความน้อยใจ หรือความไม่พอใจด้วยวิธีสร้างสรรค์ ก็จะลดความเสี่ยงในการใช้ความรุนแรงเมื่อโตขึ้น

ทิ้งท้าย

ไซโคพาธ (Psychopath) ไม่ใช่แค่เรื่องสั้นๆ ที่จะมองผ่านแล้วจบ เพราะมันครอบคลุมทั้งมิติด้านชีววิทยาสมอง ภาวะทางจิตใจ และสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมพฤติกรรม ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาการเหล่านี้สร้างปัญหาให้แก่ทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และสังคม อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้และทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับไซโคพาธจะช่วยให้เราจัดการและป้องกันได้ดีขึ้น

หากคุณหรือคนรอบข้างสงสัยตอบตนเองไม่ได้ว่า “นี่ใช่ไซโคพาธหรือเปล่า” ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง อย่าลังเลที่จะปกป้องสิทธิส่วนบุคคลเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ไม่ปลอดภัย ที่สำคัญ อย่ามองว่าโรคทางจิตเวชคือคำพิพากษาถาวร หากได้รับแนวทางสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่เป็นไซโคพาธก็อาจปรับตัว หรืออย่างน้อยสามารถลดความรุนแรงของอาการลงได้

เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว อาจถึงเวลาที่เราทุกคนช่วยกันสร้างความตระหนักรู้ให้แก่สังคม เข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง พร้อมกันนั้นก็ยังสามารถดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสม เพื่อให้เขาหรือเธอได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์หรือจิตบำบัดได้ทันเวลา สังคมที่เข้าใจอาการทางจิตใจ จะเป็นสังคมที่เข้มแข็งและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุด หากข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ต่อคุณหรือคนใกล้ตัว อย่าลืมส่งต่อ แชร์ออกไป หรือแสดงความเห็นไว้ด้านล่าง เพื่อจุดประกายให้ผู้คนได้เรียนรู้เพิ่มเติม และร่วมกันสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับไซโคพาธ ด้วยความรู้และแนวทางเชิงสร้างสรรค์ เราอาจเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทิศทางที่ปราศจากความรุนแรงทางจิตใจและร่างกาย เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีสุขภาพจิตที่ดีและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

Advertisement

กดเพื่ออ่านต่อ
Advertisement

NaniTalk S.

เป็นนักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button