โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ระบาดอย่่างต่อเนื่องมากว่า 1 เดือนแล้ว มาทำความรู้จัก และวิธีการป้องกันไวรัสโคโรน่ากัน
โควิด-19 (ไวรัสโคโรน่า)
ไวรัสโคโรน่า (Coronavirus) หรือ โควิด-19 คือ สปีชีส์ต่าง ๆ ของไวรัสในจีนัสที่อยู่ในวงศ์ย่อย Coronavirinae และ Tonovirinae ในวงศ์ Coronaviridae ในอันดับ Nidovirales เป็นไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม (enveloped) มีจีโนมเป็นอาร์เอ็นเอ โพซิทีฟเซนส์ มีนิวคลีโอแคปซิดที่มีสมมาตรแบบเฮลิกซ์ ขนาดจีโนมของไวรัสเหล่านี้มีตั้งแต่ 26-32 กิโลเบส ซึ่งถือว่าใหญ่มากสำหรับไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ
วันที่ 31 ธันวาคม 2562 องค์การอนามัยโลกได้รับแจ้งจากรัฐบาลจีน ว่าประชาชนหลายคนในเมืองอู่ฮั่นทางตอนกลางของประเทศ ล้มป่วยด้วยอาการปอดอักเสบรุนแรง ที่สำคัญเราไม่เคยรู้จักเชื้อไวรัสนี้มาก่อน
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา รัฐบาลจีนแจ้งการค้นพบว่าไวรัสนี้อยู่ในตระกูลโคโรนา ไวรัสตระกูลนี้ปกติแล้วจะไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรงอะไร นอกจากไข้หวัดทั่ว ๆ ไป แต่หลายครั้งก็มีการกลายพันธุ์ อย่างที่ผ่านมาจะมีไวรัสซาร์ส (SARS-CoV) ในช่วงปี 2545 และไวรัสเมอร์ส (MERS-CoV) เคยระบาดในคนมาแล้ว 6 สายพันธุ์การระบาดครั้งนี้เป็นสายพันธุ์ที่ 7
12 กุมภาพันธ์ 2563 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศตั้งชื่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างเป็นทางการว่า Covid19 (โควิด-19) ย่อมาจาก Co = Corona ,VI = Virus ,D = Disease ,19 = 2019 เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนหรือการตีตราคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง
เชื้อโคโรนาที่แพร่อยู่นี้ เป็นอีกหนึ่งชนิดที่ใหม่จนยังไม่มีชื่อเรียก เพราะกฎของ WHO ที่ประกาศปี 2015 ว่า ไม่ให้ตั้งชื่อโรคจากชื่อเมือง ประเทศ ภูมิภาค รวมถึงชื่อคน สัตว์ แต่ให้ตั้งชื่อจากอาการรวม ๆ องค์การอนามัยโลกให้ชื่อชั่วคราวว่า Novel Coronavirus (2019-nCoV) หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
โควิด-19 เกิดจากอะไร ?
คาดว่าเชื้อแพร่กระจายมาจากตลาดสินค้าประมงในเมืองอู่ฮั่น (Wuhan Fish Market) ที่แอบลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย คาดเดากันว่าไวรัสอาจมาจากค้างคาวผลไม้ แต่จากการศึกษา กลับพบว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้น อาจมาจากงู เพราะนักวิจัยใช้วิธีเทียบรหัสพันธุกรรม (RSCU) เพื่อเปรียบเทียบลำดับ RNA ของสัตว์ชนิดต่าง ๆ
ผลการวิจัยพบว่าเชื้อ 2019-nCoV เกิดขึ้นจากการผสมกันภายในสไปค์ไกลโคโปรตีน (spike glycoprotein) ของไวรัสโคโรนาในค้างคาวและไวรัสโคโรนาอีกชนิดที่ไม่ทราบแหล่งกำเนิด แต่มีโอกาสสูงว่าน่าจะเป็น “งู”
ผู้ติดเชื้อเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศจนเชื้อแพร่กระจายไปวงกว้าง ครั้งแรกเชื่อกันว่าเชื้อนี้จะถ่ายทอดจากสัตว์มาสู่คนเท่านั้น แต่ทางการจีนยืนยันว่ามีการแพร่เชื้อจากคนสู่คนด้วยกันได้ เพราะพบการติดเชื้อในคนที่ไม่เคยเดินทางไปเมืองอู่ฮั่นมาก่อน
อาการของโควิด 19 ?
สำหรับคนที่ติดเชื้อโคโรน่าจะมีอาการตามระบบทางเดินหายในเป็นอับดับแรก มีไข้ รู้สึกกระสับกระส่าย มีอาการไอ ไอแห้ง ๆ เจ็บคอ น้ำมูกไหล หายใจเหนื่อยหอบ ท้องเสีย เรียกได้ว่าเป็นอาการขนานเบา คนก็เลยไม่ค่อยไปโรงพยาบาล รู้ตัวอีกทีก็รุนแรงจนปอดอักเสบต้องเข้าโรงพยาบาล ระยะฟัหตัวของอาการประมาณ 3-24 วัน
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ แพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ หลังจากที่พบผู้ป่วยหลายคน ไม่มีประวัติการเดินทางไปที่ตลาดอาหารทะเลอู่ฮั่นมาก่อน ก็ติดเชื้อได้ โดยการแพร่เชื้อจากคนสู่คน มักเกิดขึ้นจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น ละอองจากการไอขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อไวรัส ทั้งยังแพร่กระจายได้โดยการสัมผัสสิ่งที่ผู้ติดเชื้อสัมผัสแล้ว เช่นแตะที่ปาก จมูก หรือตา ด้วย
ตามรายงานผู้เสียชีวิต คือ กลุ่มคนที่กว่าจะรู้ตัวว่าติดเชื้อก็มีอาการรุนแรงมากแล้ว
กลุ่มเสี่ยง
จากข้อมูลประเทศจีน กลุ่มประชากรส่วนใหญ่ที่เข้าโรงพยาบาลตอนนี้เป็นผู้สูงอายุ (มีนายแพทย์เสียชีวิตด้วยเช่นกัน) ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ส่วนเด็กที่สุดที่เข้ารับการตรวจวินิจฉัยอยู่ที่อายุ 13-14 ปี จากข้อมูลตอนนี้ยังไม่มีกรณีที่ส่งผลกระทบต่อเด็กเล็ก
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวอื่นประกอบด้วย เช่น ภาวะร่างกายอ่อนแอ มีโรคหัวใจหรือมะเร็งอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และมีระบบภูมิคุ้มกัน ที่ไม่แข็งแรงพอจะสู้กับไข้หวัดใหญ่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อต้องสู้กับไวรัสก็เลยเกิดผลคล้าย ๆ กัน ล่าสุดมีรายงานแล้วว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้ว แม้อายุยังไม่ถึง 40 ปีและไม่มีโรคประจำตัว
โควิด-19 รักษาได้ไหม ?
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 แพทย์โรงพยาบาลราชวิถี ประสบความสำเร็จในการรักษาคนไข้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา โดยใช้ยา 3 ตัว เผยคนไข้ดีขึ้นภายใน 12 ชั่วโมง และผลตรวจเชื้อไวรัสเป็นลบ ภายในระยะเวลา 48 ชั่วโมง
นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช และ นพ.สืบสาย คงแสงดาว แพทย์จากโรงพยาบาลราชวิถี เปิดเผยระหว่างการแถลงข่าวสถานการณ์ไวรัสโคโรนาประจำวันว่า ตนมีประสบการณ์รักษาคนไข้ชาวจีนที่อาการค่อนข้างรุนแรง ก็ปรากฏว่าคนไข้อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมง ผลตรวจโคโรนาไวรัสจากที่เป็นบวกกลายเป็นลบ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี
ทั้งนี้กระบวนการรักษาใช้ยาขององค์การเภสัช เป็นยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่และต้านไวรัสเอดส์ให้ร่วมกัน ค่าผลตรวจจากเดิมไม่พบเชื้อแล้วภายใน 48 ชั่วโมง
“ยาต้านไวรัสเอดส์ทางจีนก็ใช้อยู่ แต่ทางเรามีการเปิดดูข้อมูลว่ามีการรักษาในกลุ่มโคโรนาไวรัสเมอร์สที่เคยระบาดแล้วได้ผลด้วยยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ เราก็เลยนำมาผสมกัน ปรากฏว่าผลดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง เชื้อจากที่เป็นบวก 10 วัน กลายเป็นลบ”
หมอราชวิถีให้ยาต้านไวรัส HIV แบบสูตรผสมโลพินาเวียร์ + ลิโทนาเวียร์ ในเม็ดเดียวกัน ครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น ร่วมกับการให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์ 75 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น
ปรากฏว่าคนไข้จีน 2 รายหายดีจากการป่วย โดยทดสอบ 2019-nCov ผลออกมาเป็นลบ
แต่ยังต้องรอการศึกษาที่จะบอกว่าการรักษาวิธีนี้เป็นมาตรฐานการรักษา ซึ่งในจีนที่แนะนำการรักษาก่อนหน้านี้ คือใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างเดียว ไม่ได้ให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าทางจีนหรือประเทศอื่น ๆ มีการรักษาด้วยวิธีการนี้หรือไม่ อาจจะมีก็ได้แต่ยังไม่ได้มีการรายงานออกมา
ตอนนี้ยังไม่มียาตัวไหนต้านเชื้อไวรัสโคโรน่าตัวนี้ได้โดยตรง การรักษาปัจจุบันเป็นการรักษาตามอาการ และที่ผ่านมาก็มีผู้ป่วยหลายคน ที่ได้รับการรักษาจนหมดเชื้อแล้ว
วิธีป้องกันโควิด 19
- หมั่นล้างมือด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ
- ปิดปาก ปิดจมูก เวลาไอ จาม ด้วยกระดาษทิชชู่ หรือ ต้นแขนด้านใน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใย หรือ อาการคล้ายไข้หวัด
- ปรุงอาหารประเภทเนื้อสัตว์และไข่ให้สุกด้วยความร้อน
- สวมอุปกรณ์ป้องกันเมื่อต้องสัมผัสกับสัตว์ป่ามีชีวิต หรือสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม
- ใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน
- เลี่ยงสถานที่แออัด
- ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- วิธีล้างมือที่ถูกต้อง ให้สะอาด ปราศจากโรคภัย
- วิธีการใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ให้สะอาด ปราศจากโรคภัย
วิธีป้องกันตนเองของนักเดินทาง
ณ วันที่ 23 มกราคม 2563 องค์การอนามัยโลกยังไม่มีประกาศจำกัดการเดินทาง อย่างไรก็ดีทางการจีนได้ประกาศปิดการเดินทางสาธารณะที่เข้าออกเมืองอู่ฮั่นทุกช่องทางตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2563 เวลา 10.00 น. ดังนั้นประชาชนควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- ประชาชนสามารถเดินทางไปประเทศจีนได้ อย่างไรก็ดีควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นตามคำประกาศของทางการจีน
- ระหว่างเดินทางในต่างประเทศขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม หากเลี่ยงไม่ได้ให้สวมใส่หน้ากากอนามัย
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดี
- หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น
- ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
- รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้
- หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
เช็กข้อมูลการระบาดเชื้อโควิด-19
ตอนนี้ เชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (2019-nCoV) หรือ โควิด-19 ได้เริ่มระบาดไปยังหลายเมืองทั่วโลก นักวิจัยฯ ได้ทำเว็บไซต์สรุปข้อมูลจาก WHO เพื่อรายงานสถานการณ์ระบาดล่าสุด แสดงผลข้อมูลแบบเข้าใจได้ง่าย เผยแพร่ทางหน้าเว็บไซต์ gisanddata.maps.arcgis.com ที่จะบอกข้อมูลทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อ, ผู้เสียชีวิต และมีแยกจำนวนตามเมืองและประเทศที่ตัวพบ ซึ่งข้อมูลจะมีการอัปเดตอย่างเรียลไทม์
สิงคโปร์ทำเว็บไซต์รายงานจุดที่พบผู้ติดเชื้อ ไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ แบบละเอียดบอกเพศ อายุ สัญชาติชาติ และที่อยู่ ดูได้ที่ sgwuhan.xose.net
Cleverse ร่วมกับ Workpoint News และคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พัฒนาเว็บไซต์เพื่อเช็คสถานการณ์ COVID-19 ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เข้าดูได้ที่ covid19.workpointnews.com
สำหรับฐานข้อมูลของตัวเลขผู้ป่วยในประเทศไทย จะมีการเผยแพร่ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้กลุ่มนักพัฒนาสามารถนำไปสร้างสรรค์และพัฒนาเป็นระบบต่าง ๆ เพื่อร่วมกันช่วยเหลือสังคมในเวลาวิกฤตินี้
บริษัทพัฒนาเว็บไซต์และซอฟต์แวร์ 5Lab ได้เปิดตัวเว็บไซต์ Covidtracker เพื่อให้คนไทยสามารถติดตาม เช็กสถานที่โดยรอบ อัปเดตสถานการณ์ ว่ามีข่าวหรือผู้ติดเชื้อ COVID-19 ตรงจุดไหนบ้าง โดยเว็บไซต์นี้ ในแผนที่จะมีสัญลักษณ์จุดสีต่างๆ ที่แตกต่างกัน พร้อมจุดที่พบผู้ติดเชื้อ รวมถึงรายละเอียดอย่าง เพศ อายุ มาจากไหน ผู้ป่วยเป็นเคสที่เท่าไหร่ covidtracker.5lab.co ข้อมูลที่เว็บไซต์ Covidtracker ใช้อ้างอิงจาก BBC Thai และ antifakenewscenter สามารถคลิกเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ สาเหตุการติดเชื้อ หรือ สถานที่ที่พบการติดเชื้ออย่างละเอียดได้ด้วย
ระดับการระบาดโควิด 19
- โควิด 19 ระดับหรือเฟส 1 คือ พบการติดเชื้อจากประเทศต้นทาง แต่ไม่พบการติดต่อในประเทศ
- โควิด 19 ระดับหรือเฟส 2 คือ พบคนไทยติดเชื้อจากต่างประเทศ และติดต่อไปสู่คนใกล้ตัว
- โควิด 19 ระดับหรือเฟส 3 คือ พบการติดเชื้อในประเทศสู่คนหมู่มากอย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้ติดเชื้อไม่มีประวัติเดินทางไปในประเทศกลุ่มเสี่ยง
อ้างอิงจาก : ศ. นพ. ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจ้า
ที่มา : Workpoint News , กระทรวงสาธารณสุข