
วันนี้เรามาคุยกันเรื่องเบียร์กันดีกว่า แต่ไม่ใช่แค่เบียร์ทั่วไปที่เราเห็นตามร้านสะดวกซื้อนะ แต่เป็นโลกของ “เบียร์คราฟท์” และเบียร์หลากหลายสไตล์ที่น่าสนใจ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในบ้านเรา
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเพื่อนบางคนถึงยอมจ่ายเงินมากกว่าปกติเพื่อดื่มเบียร์ที่มีชื่อแปลกๆ อย่าง IPA, Stout หรือ Pale Ale? หรือทำไมพวกเขาถึงพูดถึงกลิ่นและรสชาติของเบียร์เหมือนกับคนดื่มไวน์? บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับโลกของเบียร์คราฟท์และประเภทต่างๆ ที่น่าสนใจ เสมือนเพื่อนที่รู้ลึกรู้จริงกำลังเล่าให้ฟัง
สารบัญ
เบียร์คราฟท์ คืออะไร? ทำไมถึงแตกต่างจากเบียร์ทั่วไป
เบียร์คราฟท์ (Craft Beer) หรือที่หลายคนเรียกว่า “คราฟเบียร์” คือเบียร์ที่ผลิตโดยโรงเบียร์ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ที่เน้นคุณภาพ รสชาติ และความพิถีพิถันในการผลิตมากกว่าการผลิตในปริมาณมหาศาล เรียกได้ว่าผู้ผลิตใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ ไปจนถึงกระบวนการหมักและบ่ม

จุดเด่นของเบียร์คราฟท์อยู่ที่ความหลากหลายและการสร้างสรรค์ ผู้ผลิตมักทดลองใช้วัตถุดิบที่แตกต่าง เทคนิคการผลิตที่หลากหลาย หรือแม้แต่การนำสูตรโบราณมาปรับใช้ใหม่ ทำให้ได้เบียร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร
สำหรับคนไทย เบียร์คราฟท์อาจยังเป็นเรื่องใหม่ แต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีโรงเบียร์คราฟท์เกิดขึ้นหลายแห่งในประเทศไทย และบาร์เบียร์คราฟท์ก็เปิดให้บริการมากขึ้นในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือภูเก็ต
สเตาท์เบียร์ (เบียร์ดำ) รสชาติเข้มข้นน่าค้นหา
สเตาท์เบียร์ (Stout) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “เบียร์ดำ” เป็นหนึ่งในประเภทเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์ ลักษณะเด่นที่สุดของสเตาท์คือสีที่เข้มจนเกือบดำ ซึ่งมาจากการใช้มอลต์ที่คั่วไหม้หรือเผาจนเกือบเป็นถ่าน
รสชาติของสเตาท์เบียร์มักจะเข้มข้น มีความขมนุ่มลึก พร้อมโน้ตของกาแฟ ช็อคโกแลต และคาราเมล บางสูตรอาจมีความหวานจากมอลต์ หรือมีความเปรี้ยวเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับสไตล์และสูตรเฉพาะของแต่ละโรงเบียร์ เบียร์ประเภทนี้มักมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ 4% ไปจนถึง 10% หรือมากกว่า

หนึ่งในสเตาท์เบียร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคือ Guinness จากไอร์แลนด์ ซึ่งหลายคนอาจคุ้นเคยดี แต่ในโลกของเบียร์คราฟท์ ยังมีสเตาท์อีกหลายประเภท เช่น Oatmeal Stout ที่ใช้ข้าวโอ๊ตเป็นส่วนผสม ให้รสชาตินุ่มและเนียน หรือ Imperial Stout ที่มีแอลกอฮอล์สูงและรสชาติเข้มข้นมาก
เบียร์สเตาท์เหมาะสำหรับดื่มในช่วงอากาศเย็น หรือจับคู่กับอาหารที่มีรสชาติเข้มข้น เช่น เนื้อตุ๋น ช็อคโกแลตเดสเสิร์ต หรือชีสที่มีรสเข้ม
India Pale Ale (IPA) ราชาแห่งเบียร์คราฟท์
India Pale Ale หรือที่นิยมเรียกสั้นๆ ว่า “IPA” เป็นหนึ่งในสไตล์เบียร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการเบียร์คราฟท์ทั่วโลก มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปในยุคอาณานิคมของอังกฤษ เมื่อเบียร์ต้องเดินทางไกลจากอังกฤษไปยังอินเดีย จึงต้องเพิ่มฮอปและแอลกอฮอล์เพื่อให้เบียร์อยู่ได้นานระหว่างการเดินเรือ

ลักษณะเด่นของ IPA คือความขมจากฮอปที่ชัดเจน มีกลิ่นและรสชาติของฮอปที่โดดเด่น ซึ่งอาจมีโน้ตของผลไม้เขตร้อน สน ดอกไม้ หรือสมุนไพร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ฮอปที่ใช้ มีแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง ประมาณ 5.5-7.5% และมีสีเหลืองทองถึงสีอำพัน
ปัจจุบัน IPA มีหลายสไตล์ย่อย เช่น:
- West Coast IPA: เน้นความขมสูง มีกลิ่นสน ดอกไม้ และซิตรัส
- New England IPA (NEIPA): ลักษณะขุ่น นุ่ม ความขมน้อย เน้นกลิ่นและรสผลไม้เขตร้อน
- Double/Imperial IPA: แอลกอฮอล์สูงกว่า (7.5-10%) และใช้ฮอปมากกว่า IPA ปกติ
- Session IPA: แอลกอฮอล์ต่ำ (ประมาณ 4-5%) แต่ยังคงกลิ่นและรสฮอปที่โดดเด่น
IPA เป็นเบียร์ที่นิยมใช้ทดลองกับวัตถุดิบและเทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอ ในประเทศไทย มีโรงเบียร์คราฟท์หลายแห่งที่ผลิต IPA ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว บางแห่งอาจผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น ผลไม้ไทย หรือสมุนไพรไทย เพื่อสร้างรสชาติที่แปลกใหม่
เบียร์ Weizen ความละมุนจากเยอรมัน
เบียร์ Weizen (ไวเซ่น) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Hefeweizen หรือ Wheat Beer เป็นเบียร์ข้าวสาลีสไตล์เยอรมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยการใช้ข้าวสาลีเป็นวัตถุดิบหลักในสัดส่วนที่สูง (มากกว่า 50% ของธัญพืชที่ใช้) แทนที่จะใช้ข้าวบาร์เลย์เพียงอย่างเดียวเหมือนเบียร์ทั่วไป

ลักษณะเด่นของ Weizen คือความขุ่นตามธรรมชาติ สีเหลืองอ่อนถึงสีทอง มีฟองขาวครีมที่ฟูและคงทน กลิ่นและรสชาติมีความเป็นเอกลักษณ์ด้วยโน้ตของกล้วย (จากเอสเทอร์) และกลิ่นกานพลู (จากฟีนอล) ซึ่งเกิดจากยีสต์พิเศษที่ใช้ในการหมัก บางครั้งอาจพบโน้ตของวานิลลา น้ำผึ้ง หรือแม้กระทั่งกลิ่นหอมของขนมปัง
เบียร์ Weizen มีหลายประเภทย่อย เช่น:
- Hefeweizen: แบบดั้งเดิม ที่ยังมียีสต์แขวนลอยอยู่ในเบียร์ (Hefe แปลว่า ยีสต์)
- Kristallweizen: เวอร์ชันที่กรองยีสต์ออกจนใส
- Dunkelweizen: เวอร์ชันที่ใช้มอลต์เข้มกว่า ทำให้มีสีเข้มและรสชาติคาราเมล
- Weizenbock: เวอร์ชันที่มีแอลกอฮอล์สูงกว่า (6.5-8%) และรสชาติเข้มข้น
เบียร์ Weizen ดื่มง่าย สดชื่น เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นดื่มเบียร์คราฟท์ เนื่องจากมีความขมต่ำถึงปานกลาง นิยมเสิร์ฟในแก้วทรงสูงพิเศษที่เรียกว่า “แก้ว Weizen” ซึ่งบานออกด้านบนเพื่อรองรับฟองเบียร์ที่ฟู และช่วยให้ได้กลิ่นอย่างเต็มที่
ในประเทศไทย เบียร์ Weizen เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ด้วยรสชาติที่สดชื่น ดื่มง่าย เข้ากับอากาศร้อนของเมืองไทย และยังเข้ากันได้ดีกับอาหารไทยหลายประเภท เช่น อาหารรสเผ็ด หรืออาหารทะเล
เบียร์ Pale Ale จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติเบียร์คราฟท์
Pale Ale เป็นหนึ่งในสไตล์เบียร์ที่เก่าแก่และมีอิทธิพลมากที่สุด จนอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติเบียร์คราฟท์ในยุคปัจจุบัน มีประวัติย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 18 ในประเทศอังกฤษ เมื่อการพัฒนาเทคนิคการผลิตมอลต์ทำให้สามารถผลิตเบียร์ที่มีสีอ่อนกว่าเบียร์ทั่วไปในยุคนั้น (จึงได้ชื่อว่า “Pale” หรือ “สีซีด”)

ลักษณะของ Pale Ale คือมีสีทองอำพันถึงทองแดงอ่อน ความขมปานกลาง มีความสมดุลระหว่างความหวานของมอลต์และความขมของฮอป มีกลิ่นและรสของฮอปชัดเจนแต่ไม่รุนแรงเท่า IPA แอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 4.5-6.2%
Pale Ale มีหลายสไตล์ย่อยตามภูมิภาคต่างๆ ที่โดดเด่นได้แก่:
- English Pale Ale: ต้นฉบับดั้งเดิม เน้นความสมดุล มีความขมปานกลาง มอลต์มีบทบาทชัดเจน
- American Pale Ale (APA): เวอร์ชันอเมริกัน ใช้ฮอปอเมริกันที่ให้กลิ่นซิตรัสและสน ความขมมากกว่าแบบอังกฤษ
- Belgian Pale Ale: มีเอกลักษณ์จากยีสต์เบลเยียมที่ให้กลิ่นผลไม้และเครื่องเทศ
Pale Ale ถือเป็น “เบียร์ทางสายกลาง” ที่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นสำรวจโลกของเบียร์คราฟท์ เพราะมีความซับซ้อนพอที่จะทำให้น่าสนใจ แต่ไม่รุนแรงเกินไปจนดื่มยาก สามารถจับคู่ได้ดีกับอาหารหลากหลายประเภท ตั้งแต่พิซซ่า เบอร์เกอร์ ไปจนถึงอาหารไทยรสจัด
ในประเทศไทย Pale Ale กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ มีโรงเบียร์คราฟท์หลายแห่งที่ผลิต Pale Ale ในสไตล์ของตัวเอง บางแห่งอาจผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น น้ำผึ้งป่า หรือสมุนไพรไทย เพื่อสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ฮอปเบียร์ เสน่ห์ของความขมที่ลงตัว
ฮอปเบียร์ (Hop) ไม่ได้เป็นประเภทของเบียร์โดยตรง แต่เป็นคำที่ใช้เรียกเบียร์ที่เน้นการใช้ฮอปในปริมาณมาก ฮอป (Hops) คือพืชตระกูลเดียวกับกัญชาที่ใช้ในการผลิตเบียร์เพื่อเพิ่มความขม กลิ่น และช่วยในการถนอมอาหาร
เบียร์ที่เน้นฮอปมักจะมีความขมโดดเด่น พร้อมกลิ่นและรสชาติที่หลากหลายขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของฮอปที่ใช้ บางสายพันธุ์ให้กลิ่นผลไม้เขตร้อน เช่น มะม่วง สับปะรด หรือเกรปฟรุต บางสายพันธุ์ให้กลิ่นสน ดอกไม้ หรือสมุนไพร

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฮอปเบียร์ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการเบียร์คราฟท์ โดยเฉพาะในรูปแบบของ IPA (India Pale Ale) ทำให้ผู้ผลิตเบียร์คราฟท์พัฒนาเทคนิคการใช้ฮอปแบบใหม่ๆ เช่น Dry-Hopping (การเติมฮอปในช่วงหมัก) หรือ Hop Bursting (การเพิ่มฮอปปริมาณมากในช่วงท้ายของการต้ม)
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นดื่มเบียร์คราฟท์ ความขมของฮอปอาจเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัว แต่เมื่อคุ้นเคยแล้ว คุณจะพบว่าความซับซ้อนของรสชาติและกลิ่นจากฮอปเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เบียร์คราฟท์น่าสนใจ
เบียร์คราฟท์ในประเทศไทย การเติบโตและความท้าทาย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมเบียร์คราฟท์ในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้จะมีข้อจำกัดทางกฎหมายและการแข่งขันกับแบรนด์เบียร์ยักษ์ใหญ่ โรงเบียร์คราฟท์ไทยหลายแห่งได้สร้างชื่อเสียงและได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ
ผู้ผลิตเบียร์คราฟท์ไทยมีความโดดเด่นในการผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นเข้ากับสไตล์เบียร์ดั้งเดิม เช่น การใช้ข้าวไทย น้ำผึ้งป่า ผลไม้เมืองร้อน หรือสมุนไพรไทย สร้างสรรค์เบียร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แตกต่างจากเบียร์คราฟท์จากประเทศอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเทศกาลเบียร์คราฟท์ในเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือภูเก็ต ที่รวบรวมโรงเบียร์คราฟท์ทั้งไทยและต่างประเทศมาให้ผู้สนใจได้ลองชิม พร้อมกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับเบียร์ เป็นการขยายวัฒนธรรมการดื่มเบียร์แบบชิมและชื่นชมในรสชาติมากกว่าการดื่มเพื่อความมึนเมา
อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมเบียร์คราฟท์ในไทยยังมีความท้าทายหลายประการ เช่น:
- ราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเบียร์ทั่วไป ทำให้กลุ่มผู้บริโภคจำกัดอยู่ในวงแคบ
- การขาดความรู้ความเข้าใจของผู้บริโภคเกี่ยวกับความแตกต่างและคุณค่าของเบียร์คราฟท์
- ข้อจำกัดทางกฎหมายในการผลิตและจำหน่ายเบียร์ของผู้ประกอบการรายย่อย
แม้จะมีความท้าทาย แต่อนาคตของเบียร์คราฟท์ในไทยยังมีแนวโน้มที่สดใส เนื่องจากผู้บริโภครุ่นใหม่มีความสนใจในเครื่องดื่มที่มีคุณภาพและเรื่องราวมากขึ้น พร้อมที่จะลองสิ่งใหม่ๆ และยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อประสบการณ์ที่แตกต่าง
การเลือกและการดื่มเบียร์คราฟท์อย่างเข้าใจ
การดื่มเบียร์คราฟท์ไม่ใช่แค่เรื่องของการดับกระหาย แต่เป็นการเรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์รสชาติที่หลากหลาย เพื่อให้คุณได้เพลิดเพลินกับเบียร์คราฟท์อย่างเต็มที่ นี่คือคำแนะนำสำหรับมือใหม่:

- เริ่มจากสิ่งที่คุ้นเคย: หากคุณเคยชอบเบียร์ลาเกอร์ทั่วไป ลองเริ่มจาก Pale Ale หรือ Weizen ที่มีรสชาติไม่แตกต่างจากเบียร์ที่คุณคุ้นเคยมากนัก แล้วค่อยๆ ขยับไปสู่ IPA หรือ Stout ที่มีรสชาติเข้มข้นมากขึ้น
- เรียนรู้การชิม: ก่อนดื่ม ให้สังเกตสี ความใส ความขุ่น และฟองของเบียร์ จากนั้นดมกลิ่นเพื่อสัมผัสโน้ตต่างๆ แล้วจึงจิบเล็กน้อย ให้เบียร์กระจายทั่วลิ้น เพื่อรับรู้รสชาติที่หลากหลาย
- เลือกแก้วให้เหมาะสม: แก้วเบียร์แต่ละแบบถูกออกแบบมาสำหรับเบียร์แต่ละประเภท เช่น แก้ว Pilsner ทรงสูงเรียวสำหรับเบียร์ลาเกอร์ แก้ว Tulip สำหรับ IPA หรือแก้ว Weizen ทรงสูงบานปากสำหรับเบียร์ข้าวสาลี
- อุณหภูมิมีผล: เบียร์แต่ละประเภทมีอุณหภูมิที่เหมาะสมในการดื่ม เช่น ลาเกอร์ควรเย็นจัด (3-7°C) ในขณะที่ Stout หรือ IPA ควรเย็นแต่ไม่จัดเกินไป (7-13°C) เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด
- จับคู่กับอาหาร: เบียร์คราฟท์สามารถจับคู่กับอาหารได้หลากหลาย เช่น Stout กับช็อคโกแลตเดสเสิร์ต, IPA กับอาหารรสจัด, Weizen กับอาหารทะเล หรือ Pale Ale กับพิซซ่าและเบอร์เกอร์
ทิ้งท้าย
ไม่ว่าเพื่อนจะชอบรสชาติแบบไหน เบียร์คราฟก็มีหลากหลายประเภทให้เลือกสรรตามความชอบ ลองสำรวจและค้นหารสชาติที่ใช่ แล้วอย่าลืม อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเบียร์คราฟ เพื่อค้นพบเบียร์ที่เป็นตัวคุณอย่างแท้จริง
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนรู้จักและเข้าใจเบียร์คราฟแต่ละประเภทมากขึ้น แล้วอย่าลืมแชร์บทความนี้ให้กับเพื่อนที่ชื่นชอบการดื่มเบียร์คราฟด้วยกันนะ!