กระเทียมเป็นวัตถุดิบพื้นฐานในอาหารไทย นิยมนำมาประกอบอาหารหลากหลายเมนู ทั้งอาหารคาวหวาน ไม่ว่าจะผัด ต้ม แกง ทอด ยำ หรือโรยหน้า กระเทียมก็ช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้กับอาหารได้อย่างดี
แต่กระเทียมก็มีอยู่หลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งรูปร่าง ลักษณะ รสชาติ และกลิ่น วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับกระเทียมไทยและกระเทียมจีน สองสายพันธุ์ยอดนิยมของไทย ว่าต่างกันอย่างไร
หน้าตาภายนอก: ต่างกันที่ขนาด
กระเทียมไทยมีขนาดเล็กกว่ากระเทียมจีน หัวกระเทียมไทยมีขนาดเล็กประมาณ 2-3 เซนติเมตร ส่วนหัวกระเทียมจีนมีขนาดใหญ่ประมาณ 4-5 เซนติเมตร
- กระเทียมไทย: หัวเล็ก กลีบเล็ก แน่น เปลือกแห้งกรอบ แกะง่าย
- กระเทียมจีน: หัวใหญ่ กลีบใหญ่ อวบ เปลือกชื้น ลื่น แกะยาก
ปลอกง่าย VS แกะยาก
- กระเทียมไทยมีเปลือกหนากว่ากระเทียมจีน ทำให้แกะยากกว่าเล็กน้อย ต้องใช้มีดหรือที่ปอกกระเทียมช่วยในการแกะเปลือกออก
- กระเทียมจีนมีเปลือกบางกว่า จึงปอกได้ง่ายกว่า เพียงแค่ใช้นิ้วมือแกะออกก็หลุดแล้ว
กลิ่นและรสชาติ: เด่นคนละแบบ
- กระเทียมไทยมีกลิ่นฉุน หอมชวนหิว รสชาติเผ็ดร้อน นิยมนำมาประกอบอาหารที่ต้องการกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น เช่น น้ำพริก แกงเผ็ด ต้มยำ เป็นต้น
- กระเทียมจีนมีกลิ่นอ่อนกว่า รสชาติจืดกว่า นิยมนำมาประกอบอาหารที่ต้องการความหอมพอประมาณ เช่น เมนูทอด โรยหน้า หรือทำน้ำจิ้ม เป็นต้น
คุณค่าทางโภชนาการ: สูสีกันแต่อย่างเดียว
ประโยชน์ต่อสุขภาพของกระเทียมไทยและกระเทียมจีน ต่างก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูงทั้งคู่ อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ เช่น โปรตีน วิตามินซี วิตามินบี6 แคลเซียม โพแทสเซียม เป็นต้น สารอาหารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น ช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ ต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันโรคมะเร็ง
- กระเทียมไทย: มีสารสำคัญอัลลิซิน (Allicin) มากกว่ากระเทียมจีน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- กระเทียมจีน: มีสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น ฟีนอล (Phenol) ช่วยลดคอเลสเตอรอล บำรุงผิวพรรณ
ราคา
- กระเทียมไทย: ราคาแพงกว่า เนื่องจากปลูกยาก ผลผลิตน้อย
- กระเทียมจีน: ราคาถูกกว่า เพราะปลูกง่าย ผลผลิตมาก
ข้อดีข้อเสีย
- กระเทียมไทย: ราคาแพงกว่า เก็บได้นาน ไม่ค่อยงอก แต่กลิ่นแรงอาจไม่เหมาะกับทุกเมนู
- กระเทียมจีน: ราคาถูก เก็บได้ไม่นาน งอกง่าย กลิ่นอ่อน เหมาะกับเมนูที่ไม่ต้องการกลิ่นแรง
เหมาะกับเมนูไหน? เลือกถูก อร่อยลงตัว
กระเทียมไทยและกระเทียมจีน เหมาะกับเมนูที่แตกต่างกัน กระเทียมไทยเหมาะกับเมนูที่ต้องการกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น เช่น น้ำพริก แกงเผ็ด ต้มยำ เป็นต้น ส่วนกระเทียมจีนเหมาะกับเมนูที่ต้องการความหอมพอประมาณ เช่น
- เน้นกลิ่นแรง รสจัด: เลือกกระเทียมไทย
- ต้องการความสะดวกในการแกะ: เลือกกระเทียมจีน
- ทอดน้ำมัน: ใช้กระเทียมจีน กลีบใหญ่ทอดง่าย ไม่เละ
- ตำน้ำพริก: ใช้กระเทียมไทย กลิ่นหอม เพิ่มความแซ่บ
- หมักเนื้อ: ใช้กระเทียมจีน รสไม่แรง กลิ่นไม่ตีกัน
ตัวอย่างเมนูที่ใช้กระเทียมไทย
- น้ำพริก
- แกงเผ็ด
- ต้มยำ
- แกงเขียวหวาน
- แกงเหลือง
- แกงไตปลา
- แกงเขียวหวานไก่
- แกงเขียวหวานหมู
- แกงเผ็ดเป็ด
- แกงเผ็ดหมู
- แกงเผ็ดไก่
ตัวอย่างเมนูที่ใช้กระเทียมจีน
- กระเทียมเจียว
- กระเทียมดอง
- กระเทียมผัด
- หมูกรอบ
- ไก่ทอด
- กุ้งทอด
- ไข่เจียว
- น้ำพริกลงเรือ
- น้ำพริกกะปิ
สรุป: ไม่มีดีกว่าแค่เลือกให้เหมาะสม
กระเทียมไทยและกระเทียมจีน ต่างก็มีจุดเด่นและข้อด้อยที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความชอบและความต้องการในการใช้งานของแต่ละคน ไม่ได้หมายความว่ากระเทียมไทยจะดีกว่ากระเทียมจีน หรือกระเทียมจีนจะดีกว่ากระเทียมไทย เพียงแค่เลือกให้เหมาะกับเมนูที่เราจะปรุงอาหาร เท่านี้ก็จะได้รสชาติและกลิ่นหอมที่อร่อยลงตัวแล้ว