อาหาร & เครื่องดื่ม

กระเทียมไทย vs กระเทียมจีน ต่างกันยังไง? เลือกแบบไหนดี?

กระเทียมเป็นวัตถุดิบพื้นฐานในอาหารไทย นิยมนำมาประกอบอาหารหลากหลายเมนู ทั้งอาหารคาวหวาน ไม่ว่าจะผัด ต้ม แกง ทอด ยำ หรือโรยหน้า กระเทียมก็ช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้กับอาหารได้อย่างดี

Advertisement

แต่กระเทียมก็มีอยู่หลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งรูปร่าง ลักษณะ รสชาติ และกลิ่น วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับกระเทียมไทยและกระเทียมจีน สองสายพันธุ์ยอดนิยมของไทย ว่าต่างกันอย่างไร

กระเทียมไทย vs กระเทียมจีน ต่างกันยังไง?
กระเทียมไทย vs กระเทียมจีน

หน้าตาภายนอก: ต่างกันที่ขนาด

กระเทียมไทยมีขนาดเล็กกว่ากระเทียมจีน หัวกระเทียมไทยมีขนาดเล็กประมาณ 2-3 เซนติเมตร ส่วนหัวกระเทียมจีนมีขนาดใหญ่ประมาณ 4-5 เซนติเมตร

  • กระเทียมไทย: หัวเล็ก กลีบเล็ก แน่น เปลือกแห้งกรอบ แกะง่าย
  • กระเทียมจีน: หัวใหญ่ กลีบใหญ่ อวบ เปลือกชื้น ลื่น แกะยาก

ปลอกง่าย VS แกะยาก

  • กระเทียมไทยมีเปลือกหนากว่ากระเทียมจีน ทำให้แกะยากกว่าเล็กน้อย ต้องใช้มีดหรือที่ปอกกระเทียมช่วยในการแกะเปลือกออก
  • กระเทียมจีนมีเปลือกบางกว่า จึงปอกได้ง่ายกว่า เพียงแค่ใช้นิ้วมือแกะออกก็หลุดแล้ว

กลิ่นและรสชาติ: เด่นคนละแบบ

  • กระเทียมไทยมีกลิ่นฉุน หอมชวนหิว รสชาติเผ็ดร้อน นิยมนำมาประกอบอาหารที่ต้องการกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น เช่น น้ำพริก แกงเผ็ด ต้มยำ เป็นต้น
  • กระเทียมจีนมีกลิ่นอ่อนกว่า รสชาติจืดกว่า นิยมนำมาประกอบอาหารที่ต้องการความหอมพอประมาณ เช่น เมนูทอด โรยหน้า หรือทำน้ำจิ้ม เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการ: สูสีกันแต่อย่างเดียว

ประโยชน์ต่อสุขภาพของกระเทียมไทยและกระเทียมจีน ต่างก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูงทั้งคู่ อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ เช่น โปรตีน วิตามินซี วิตามินบี6 แคลเซียม โพแทสเซียม เป็นต้น สารอาหารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น ช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ ต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันโรคมะเร็ง

บทความที่เกี่ยวข้อง
Advertisement

  • กระเทียมไทย: มีสารสำคัญอัลลิซิน (Allicin) มากกว่ากระเทียมจีน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  • กระเทียมจีน: มีสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น ฟีนอล (Phenol) ช่วยลดคอเลสเตอรอล บำรุงผิวพรรณ

ราคา

  • กระเทียมไทย: ราคาแพงกว่า เนื่องจากปลูกยาก ผลผลิตน้อย
  • กระเทียมจีน: ราคาถูกกว่า เพราะปลูกง่าย ผลผลิตมาก

ข้อดีข้อเสีย

  • กระเทียมไทย: ราคาแพงกว่า เก็บได้นาน ไม่ค่อยงอก แต่กลิ่นแรงอาจไม่เหมาะกับทุกเมนู
  • กระเทียมจีน: ราคาถูก เก็บได้ไม่นาน งอกง่าย กลิ่นอ่อน เหมาะกับเมนูที่ไม่ต้องการกลิ่นแรง

เหมาะกับเมนูไหน? เลือกถูก อร่อยลงตัว

กระเทียมไทยและกระเทียมจีน เหมาะกับเมนูที่แตกต่างกัน กระเทียมไทยเหมาะกับเมนูที่ต้องการกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น เช่น น้ำพริก แกงเผ็ด ต้มยำ เป็นต้น ส่วนกระเทียมจีนเหมาะกับเมนูที่ต้องการความหอมพอประมาณ เช่น

  • เน้นกลิ่นแรง รสจัด: เลือกกระเทียมไทย
  • ต้องการความสะดวกในการแกะ: เลือกกระเทียมจีน
  • ทอดน้ำมัน: ใช้กระเทียมจีน กลีบใหญ่ทอดง่าย ไม่เละ
  • ตำน้ำพริก: ใช้กระเทียมไทย กลิ่นหอม เพิ่มความแซ่บ
  • หมักเนื้อ: ใช้กระเทียมจีน รสไม่แรง กลิ่นไม่ตีกัน

ตัวอย่างเมนูที่ใช้กระเทียมไทย

  • น้ำพริก
  • แกงเผ็ด
  • ต้มยำ
  • แกงเขียวหวาน
  • แกงเหลือง
  • แกงไตปลา
  • แกงเขียวหวานไก่
  • แกงเขียวหวานหมู
  • แกงเผ็ดเป็ด
  • แกงเผ็ดหมู
  • แกงเผ็ดไก่

ตัวอย่างเมนูที่ใช้กระเทียมจีน

  • กระเทียมเจียว
  • กระเทียมดอง
  • กระเทียมผัด
  • หมูกรอบ
  • ไก่ทอด
  • กุ้งทอด
  • ไข่เจียว
  • น้ำพริกลงเรือ
  • น้ำพริกกะปิ

สรุป: ไม่มีดีกว่าแค่เลือกให้เหมาะสม

กระเทียมไทยและกระเทียมจีน ต่างก็มีจุดเด่นและข้อด้อยที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความชอบและความต้องการในการใช้งานของแต่ละคน ไม่ได้หมายความว่ากระเทียมไทยจะดีกว่ากระเทียมจีน หรือกระเทียมจีนจะดีกว่ากระเทียมไทย เพียงแค่เลือกให้เหมาะกับเมนูที่เราจะปรุงอาหาร เท่านี้ก็จะได้รสชาติและกลิ่นหอมที่อร่อยลงตัวแล้ว

Advertisement

Advertisement

NaniTalk S.

เป็นนักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button