เศรษฐกิจ & การเงิน

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 5 นาที

เคยสงสัยไหมว่าทุกครั้งที่ซื้อของหรือใช้บริการ ทำไมเราต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 7% นั่นคือ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” หรือที่เรียกกันว่า VAT (Value Added Tax) ซึ่งเป็นภาษีทางอ้อมที่รัฐบาลเก็บจากผู้บริโภคผ่านร้านค้าและผู้ให้บริการ

ภาษีชนิดนี้มีผลต่อชีวิตประจำวันของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า หรือค่าเดินทาง แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่า VAT ทำงานอย่างไร ใครต้องจ่าย และมีข้อยกเว้นอะไรบ้าง? บทความนี้จะพาเพื่อนๆ มาทำความเข้าใจภาษีมูลค่าเพิ่มแบบง่ายๆ พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร?

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร?

ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT เป็นภาษีที่เรียกเก็บในทุกขั้นตอนของการผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการ แต่ผู้ที่รับภาระภาษีจริงๆ คือ ผู้บริโภคคนสุดท้าย เช่น เมื่อเราซื้อโทรศัพท์มือถือ ราคาที่จ่ายจะรวม VAT 7% ไว้แล้ว โดยร้านค้าจะเป็นผู้เก็บภาษีส่วนนี้และส่งให้กรมสรรพากร

ระบบ VAT ถูกนำมาใช้ในหลายประเทศ เพราะช่วยกระจายฐานภาษีและลดการหลีกเลี่ยงภาษี ในประเทศไทย เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2535 แทนที่ ภาษีการค้า แบบเดิม ซึ่งเก็บเฉพาะจากผู้ขายปลีกเท่านั้น

ข้อดีของภาษีมูลค่าเพิ่มคือ รัฐบาลมีรายได้มั่นคง จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ไม่ต้องแบกรับภาระภาษีทั้งหมดเพียงลำพัง เพราะสามารถเรียกคืนภาษีที่จ่ายไปในขั้นตอนก่อนหน้าได้ (Input Tax Credit)

บทความที่เกี่ยวข้อง
Advertisement

ใครบ้างที่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม?

โดยหลักการแล้ว ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเก็บ VAT 7% จากลูกค้า แต่มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น

  • ธุรกิจที่ได้รับการยกเว้น เช่น การศึกษา การแพทย์ บริการทางการเงิน
  • สินค้าที่ไม่ต้องเสีย VAT เช่น สินค้าเกษตรบางชนิด หนังสือพิมพ์ น้ำประปา

สำหรับ ผู้บริโภคทั่วไป เราไม่ต้องยื่นภาษีนี้เอง แต่จ่ายผ่านการซื้อสินค้าและบริการอยู่แล้ว ในขณะที่ ผู้ประกอบการ ต้องยื่นภาษีทุกเดือนหรือทุก 2 เดือน แล้วส่งเงินส่วนที่เหลือให้สรรพากร

วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มแบบง่ายๆ

สูตรการคำนวณ VAT คือ:

ราคาสินค้าไม่รวม VAT × 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม  

ตัวอย่าง: ซื้อโทรศัพท์ราคา 10,000 บาท (ไม่รวม VAT)

  • VAT = 10,000 × 7% = 700 บาท
  • ราคารวม VAT = 10,000 + 700 = 10,700 บาท

แต่ในชีวิตจริง เรามักเห็นราคาสินค้ารวม VAT แล้ว ถ้าอยากรู้ว่าภาษีที่จ่ายไปคือเท่าไร ให้ใช้สูตร:

ราคารวม VAT ÷ 1.07 × 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม  

ตัวอย่าง: ซื้อกระเป๋าราคา 3,210 บาท (รวม VAT แล้ว)

  • VAT = (3,210 ÷ 1.07) × 7% = 210 บาท

ข้อยกเว้นและเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ VAT

แม้ VAT จะเป็นภาษีที่ใช้กันทั่วไป แต่ก็มีบางกรณีที่ ไม่ต้องเสียภาษี หรือ ได้รับยกเว้น เช่น:

  1. สินค้าส่งออก: ได้รับการยกเว้น VAT เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  2. บริการในต่างประเทศ: หากให้บริการลูกค้าที่อยู่ในต่างประเทศ ไม่ต้องเสีย VAT
  3. ร้านค้าที่มีรายได้น้อย: ผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ไม่ต้องจด VAT

นอกจากนี้ บางธุรกิจสามารถขอคืน VAT ได้ เช่น ผู้ส่งออกที่ซื้อวัตถุดิบแล้วนำไปผลิตสินค้าส่งออก สามารถขอคืนภาษีที่จ่ายไปได้

ทิ้งท้าย

ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่เราต้องเจออยู่เสมอ การเข้าใจระบบ VAT ช่วยให้เราตระหนักว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป ถูกนำไปพัฒนาประเทศอย่างไร

หากเพื่อนๆ เป็นผู้ประกอบการ อย่าลืมตรวจสอบว่า ธุรกิจของคุณต้องจด VAT หรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับสรรพากร ส่วนผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็ควรรู้ไว้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของใบเสร็จเวลาซื้อของ

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ลองค้นหาข้อมูลจาก กรมสรรพากร หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อความมั่นใจและวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ!

Advertisement
กดเพื่ออ่านต่อ
Advertisement

NaniTalk S.

เป็นนักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button