
เคยได้ยินคำว่า “ติดแบล็คลิส” กันบ้างไหม? หรือบางทีอาจจะเคยเจอสถานการณ์ที่คนพูดถึงคำนี้แล้วรู้สึกงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่ วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังแบบชัดๆ เหมือนเพื่อนคุยกันเลยล่ะ คำนี้ฟังดูน่ากลัวนิดหน่อยใช่ไหม? เพราะมันมักจะมาพร้อมกับเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือปัญหาที่ทำให้ชีวิตวุ่นวายได้ แต่ไม่ต้องกังวลไป เราจะพาไปเจาะลึกกันว่ามันคืออะไร เกิดจากอะไร และที่สำคัญคือจะแก้ไขยังไงให้กลับมาใช้ชีวิตได้แบบสบายใจ ไม่ต้องคอยระแวง
ถ้าจะพูดง่ายๆ “ติดแบล็คลิส” ก็คือการที่ชื่อเราถูกบันทึกไว้ในระบบว่าเป็นคนที่มีประวัติไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องการเงิน เช่น ค้างชำระหนี้ หรือผิดนัดอะไรบางอย่าง ซึ่งในไทยเรามักจะนึกถึงการติดบัญชีดำของเครดิตบูโร (National Credit Bureau หรือ NCB) ที่เก็บข้อมูลเครดิตของเราไว้ มันเหมือนกับการถูกตีตราว่า “คนนี้ไม่น่าเชื่อถือ” ในสายตาของธนาคารหรือสถาบันการเงินน่ะแหละ เพื่อนเคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนขอสินเชื่ออะไรไม่ได้เลย? นี่แหละอาจจะเป็นคำตอบ! และที่เจ๋งกว่านั้นคือเราจะมาบอกวิธีเช็กด้วยว่าตัวเองติดหรือเปล่า พร้อมวิธีแก้ไขแบบครบสูตร
ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจกันตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่คำจำกัดความของ “ติดแบล็คลิส” ไปจนถึงผลกระทบในชีวิตประจำวัน แล้วก็เคล็ดลับที่ทำให้เราหลุดพ้นจากสถานะนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่กำลังกลัวว่าตัวเองจะติด หรือคนที่ติดไปแล้วอยากหาทางออก รับรองว่าอ่านจบแล้วจะเข้าใจแบบเป๊ะๆ แถมยังเอาไปเล่าให้เพื่อนคนอื่นฟังต่อได้ด้วย มาดูกันเลยดีกว่าว่ามันมีอะไรน่าสนใจบ้าง!
สารบัญ
ติดแบล็คลิส (Blacklist) คืออะไร?

เพื่อนเคยสงสัยไหมว่าคำว่า “ติดแบล็คลิส” (Blacklist) ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ มันแปลว่าอะไรกันแน่? พูดง่ายๆ เลยนะ มันคือการที่ชื่อของเราถูกบันทึกไว้ในรายชื่อที่ไม่ค่อยดีนักในระบบของหน่วยงานบางแห่ง โดยส่วนใหญ่ในไทยเราจะหมายถึงการที่ข้อมูลเครดิตของเราถูกระบุว่า “มีปัญหา” ในฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า เครดิตบูโร (NCB) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เก็บประวัติการเงินของเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืม ชำระหนี้ หรือแม้แต่การใช้บัตรเครดิต
จริงๆ แล้วคำว่า “แบล็คลิส” ไม่ได้มีคำจำกัดความเป็นทางการในกฎหมายไทยนะ มันเป็นคำที่คนทั่วไปชอบใช้กันเพื่ออธิบายสถานการณ์ที่เรามีประวัติการเงินไม่ดี เช่น ค้างจ่ายหนี้เกิน 90 วัน หรือผิดนัดชำระหนี้จนธนาคารต้องขึ้น “สถานะแดง” ให้เรา พอถึงจุดนี้ ชื่อเราก็จะอยู่ในรายชื่อที่สถาบันการเงินมองว่า “เสี่ยง” ซึ่งแปลว่าโอกาสที่เราจะขอสินเชื่อใหม่ๆ หรือทำธุรกรรมการเงินบางอย่างก็จะยากขึ้นเยอะเลย
แต่ที่ต้องเข้าใจคือ การติดแบล็คลิสต์ไม่ได้แปลว่าเราถูกแบนตลอดไปนะเพื่อน! มันเป็นแค่สถานะชั่วคราวที่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการเงินของเรา ถ้าเราจัดการหนี้สินให้ดีขึ้น ข้อมูลในระบบมันก็จะปรับปรุงตามไปด้วย อย่างเครดิตบูโรเนี่ย เขาจะเก็บข้อมูลย้อนหลังแค่ 5 ปีเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันยังมีหวังให้เราแก้ตัวได้อยู่เสมอ
แล้วมันต่างจากคำว่า “ติดบูโร” ยังไงล่ะ? บางคนอาจจะสับสน คำว่า “ติดบูโร” จริงๆ มันแค่หมายถึงการที่เรามีข้อมูลอยู่ในระบบเครดิตบูโร ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม แต่ “ติดแบล็คลิส” มักจะหมายถึงเฉพาะกรณีที่ข้อมูลนั้นเป็นลบ หรือมีปัญหาน่ะแหละ เพื่อนลองนึกภาพตามนะ เหมือนสมุดพกของเราที่ครูจดเกรดไว้ ถ้าได้ A ตลอดก็คือติดบูโรแบบสวยๆ แต่ถ้าได้ F เต็มไปหมดก็คือติดแบล็คลิสต์นั่นเอง
ที่สำคัญ การติดแบล็คลิสต์ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องเงินอย่างเดียวนะ บางบริบท เช่น ในวงการทำงานหรือองค์กรต่างๆ เขาก็อาจจะมี “แบล็คลิสต์” ของตัวเอง เช่น รายชื่อคนที่เคยทำผิดกฎร้ายแรง แต่ในบทความนี้เราจะโฟกัสที่เรื่องการเงินเป็นหลัก เพราะมันเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่เจอกันบ่อยสุด
อะไรทำให้เราติดแบล็คลิสต์ได้บ้าง?
เอาล่ะ เพื่อนอยากรู้ไหมว่าทำไมคนเราถึงติดแบล็คลิสต์ได้? มันมีสาเหตุหลายอย่างเลยนะ แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการเงินที่เราจัดการไม่ดี มาดูกันทีละข้อเลยดีกว่า เริ่มจากตัวการใหญ่สุดที่คนเจอบ่อยๆ คือ การค้างชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน หรือผ่อนรถ ถ้าเราไม่จ่ายตามกำหนดเกิน 90 วัน ธนาคารจะส่งข้อมูลของเราไปที่เครดิตบูโรทันที แล้วสถานะของเราก็จะกลายเป็น “หนี้เสีย” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการติดแบล็คลิสต์น่ะแหละ
อีกสาเหตุที่คนมักไม่ทันระวังคือ การค้ำประกันให้คนอื่น เพื่อนเคยเจอไหม? บางคนใจดีไปค้ำประกันให้เพื่อนหรือญาติยืมเงิน แต่ถ้าคนที่เราค้ำให้ไม่จ่ายหนี้ ธนาคารจะหันมามองว่าเราก็มีความรับผิดชอบร่วมด้วย สุดท้ายชื่อเราก็อาจจะติดไปด้วยแบบงงๆ เลยนะ เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี เพราะมันเหมือนไฟลามทุ่งเลยล่ะ
นอกจากนั้น การใช้บัตรเครดิตแบบไม่ระวังก็เป็นอีกตัวการหนึ่ง เช่น จ่ายแค่ขั้นต่ำทุกเดือน หรือรูดจนวงเงินเต็มบ่อยๆ แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นค้างจ่าย แต่ถ้าธนาคารมองว่าเรามีพฤติกรรมเสี่ยง เขาก็อาจจะรายงานข้อมูลที่ไม่ค่อยดีนักไปยังเครดิตบูโรได้เหมือนกัน เพื่อนลองเช็กตัวเองดูสิ ว่ามีนิสัยแบบนี้บ้างไหม?
บางทีมันก็ไม่ใช่ความผิดเราล้วนๆ นะ เช่น ข้อมูลผิดพลาดในระบบ บางคนเจอเคสที่ธนาคารบันทึกข้อมูลผิด ทำให้ชื่อไปโผล่ในรายการหนี้เสียทั้งที่จ่ายครบแล้ว เรื่องแบบนี้ต้องรีบไปเคลียร์กับธนาคารหรือเครดิตบูโรเลย ไม่งั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่โดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายคือเรื่อง การล้มละลาย ถ้าเพื่อนถึงขั้นถูกศาลตัดสินให้ล้มละลายแล้วล่ะก็ ชื่อจะติดอยู่ในระบบนานเลยล่ะ แถมยังกระทบหนักถึงขั้นทำธุรกรรมการเงินแทบไม่ได้เลย แต่กรณีนี้ค่อนข้างสุดโต่งหน่อย คนทั่วไปมักจะไม่ถึงขั้นนี้หรอก
ผลกระทบของการติดแบล็คลิสต์มีอะไรบ้าง?
เพื่อนลองนึกภาพตามนะ ถ้าเราติดแบล็คลิสต์แล้วมันจะเป็นยังไง? ผลกระทบแรกที่เจอบ่อยสุดคือ ขอสินเชื่อไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือแม้แต่สมัครบัตรเครดิตใหม่ ธนาคารจะเช็กประวัติเราก่อนทุกครั้ง ถ้าเห็นว่ามีรอยด่างในเครดิตบูโร โอกาสถูกปฏิเสธก็สูงมากเลยล่ะ บางคนถึงขั้นต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งดอกเบี้ยแพงหูฉี่ แย่กว่าเดิมอีก
ต่อมาคือเรื่อง ชีวิตประจำวัน เพื่อนเคยได้ยินไหมว่าบางบริษัทเช็กเครดิตบูโรก่อนรับพนักงาน? โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับการเงิน ถ้าเราติดแบล็คลิสต์ อาจจะเสียโอกาสได้งานดีๆ ไปเลย แถมบางทีการเช่าบ้านหรือทำสัญญาต่างๆ เขาก็อาจจะขอเช็กประวัติด้วยนะ เรียกว่ากระทบไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเลย
อีกอย่างที่คนมักมองข้ามคือ ความเครียด การรู้ตัวว่าติดแบล็คลิสต์มันทำให้เรากังวลตลอดเวลา คิดแล้วคิดอีกว่าทำยังไงดี แถมยังรู้สึกอายถ้าต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น มันเหมือนมีเงาดำตามตัวเราตลอดเลยล่ะ เพื่อนเคยรู้สึกแบบนี้บ้างไหม?
แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะจบแค่นั้นนะ ถ้าเราจัดการแก้ไขได้ ผลกระทบพวกนี้มันจะค่อยๆ ลดลง อย่างที่บอกไปว่าข้อมูลในเครดิตบูโรเก็บแค่ 5 ปี ถ้าเรากลับมาจ่ายหนี้ดีๆ ไม่มีปัญหาใหม่เพิ่ม สถานะมันก็จะดีขึ้นเอง เพื่อนต้องอดทนและมีวินัยหน่อยนะ
เช็กยังไงว่าตัวเองติดแบล็คลิสต์หรือเปล่า?
เอาล่ะ มาถึงคำถามที่เพื่อนหลายคนอยากรู้แน่ๆ “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าติดแบล็คลิสต์?” ไม่ยากเลยนะ เราสามารถเช็กได้ด้วยตัวเองผ่านเครดิตบูโร วิธีแรกคือไปที่ สำนักงานเครดิตบูโร โดยตรงเลย เขามีสาขาอยู่หลายที่ เช่น ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว หรือตึกธนาคารกรุงไทย แค่เอาไปแค่บัตรประชาชนกับเงิน 100-200 บาท (ค่าบริการ) ก็ขอรายงานเครดิตได้แล้ว
ถ้าไม่อยากออกจากบ้านก็มีวิธีออนไลน์ด้วยนะ เพื่อนสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของเครดิตบูโร (www.ncb.co.th) แล้วสมัครขอรายงานผ่านระบบออนไลน์ได้เลย หรือจะใช้แอปพลิเคชันของธนาคารบางแห่งที่เชื่อมกับเครดิตบูโรก็ได้ สะดวกมาก แค่กรอกข้อมูลนิดหน่อย รอไม่กี่วันก็รู้ผลแล้ว
พอได้รายงานมาแล้ว ให้ดูที่ส่วน สถานะบัญชี ถ้ามีคำว่า “หนี้เสีย” หรือ “ค้างชำระเกิน 90 วัน” นั่นแหละคือสัญญาณว่าติดแบล็คลิสต์ แต่ถ้าทุกอย่างปกติ จ่ายครบ ไม่มีอะไรค้าง ก็สบายใจได้เลย เพื่อนลองไปเช็กดูสิ เผื่อจะได้วางแผนแก้ไขทัน
ถ้าดูแล้วงงๆ ไม่แน่ใจ ให้ลองถามคนที่รู้เรื่องนี้ เช่น เพื่อนที่ทำงานธนาคาร หรือโทรไปถาม call center ของเครดิตบูโรโดยตรงเลย เขาจะช่วยอธิบายให้ฟังว่าสถานะเราเป็นยังไงบ้าง
วิธีแก้ไขถ้าติดแบล็คลิสต์แล้วทำยังไงดี?
เพื่อน ถ้าตรวจแล้วพบว่าติดแบล็คลิสต์จริงๆ อย่าเพิ่งตกใจนะ มันมีทางแก้! ขั้นแรกเลยคือ เคลียร์หนี้ที่ค้างอยู่ ให้ติดต่อธนาคารหรือเจ้าหนี้ที่เราเป็นหนี้อยู่ แล้วเจรจาขอผ่อนจ่ายหรือปิดหนี้ให้จบ บางทีเขาอาจจะยอมลดดอกเบี้ยให้ด้วยถ้าเราคุยดีๆ
ขั้นต่อมาคือ สร้างประวัติการเงินใหม่ หลังจากเคลียร์หนี้แล้ว ให้เริ่มใช้บัตรเครดิตหรือกู้ยืมเล็กๆ น้อยๆ แล้วจ่ายให้ตรงเวลา ทำแบบนี้ไปสักพัก ประวัติเราจะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะเครดิตบูโรจะอัปเดตข้อมูลใหม่ตลอด
ถ้าติดเพราะข้อมูลผิดพลาด ต้องรีบยื่นเรื่องแก้ไขทันทีเลยนะ เอาเอกสารการชำระเงินไปยื่นที่ธนาคารหรือเครดิตบูโร ขอให้เขาแก้ข้อมูลให้ถูกต้อง เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะถ้าปล่อยไว้นานจะยิ่งแก้ยาก
สุดท้าย เพื่อนต้อง วางแผนการเงินให้ดี อย่าให้เกิดหนี้เกินตัวอีก ทำบัญชีรายรับรายจ่ายไว้บ้างก็ช่วยได้เยอะเลยนะ รับรองว่าถ้าทำได้แบบนี้ หลุดจากแบล็คลิสต์แน่นอน!
ป้องกันไม่ให้ติดแบล็คลิสต์ทำยังไง?
สุดท้ายแล้ว เพื่อนคงไม่อยากติดแบล็คลิสต์อีกใช่ไหม? งั้นเรามาดูวิธีป้องกันกันดีกว่า ข้อแรกเลยคือ จ่ายหนี้ให้ตรงเวลา ไม่ว่าจะบัตรเครดิตหรือสินเชื่ออะไรก็ตาม ตั้งแจ้งเตือนในโทรศัพท์ไว้เลย จะได้ไม่ลืม
ข้อสอง อย่าค้ำประกันมั่วซั่ว ถ้าไม่มั่นใจว่าคนที่เราจะค้ำให้จ่ายหนี้ไหว อย่าไปเสี่ยงเด็ดขาดนะ เพราะมันอาจจะพาเราจมได้ง่ายๆ และข้อสาม ใช้จ่ายตามกำลัง อย่าผ่อนของแพงเกินตัว หรือรูดบัตรเครดิตจนลืมคิดว่าจะจ่ายไหวไหม
ถ้าทำได้แบบนี้ รับรองว่าไม่ต้องกังวลเรื่องติดแบล็คลิสต์เลยล่ะ เพื่อนลองเอาไปปรับใช้ดูนะ ชีวิตจะได้สบายขึ้นเยอะ!
ทิ้งท้าย
เพื่อนๆ คงเห็นแล้วเนาะว่า “ติดแบล็คลิส” ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวขนาดนั้น ถ้าเราเข้าใจว่ามันคืออะไร เกิดจากอะไร และแก้ยังไงได้บ้าง สรุปง่ายๆ คือมันเป็นสถานะที่บอกว่าเรามีปัญหาการเงิน แต่ไม่ใช่จุดจบของชีวิต ขอแค่เราค่อยๆ เคลียร์หนี้ สร้างวินัยการเงินใหม่ และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง อย่าลืมไปเช็กสถานะตัวเองด้วยนะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็เมนต์มาถามกันได้เลย หรือจะแชร์บทความนี้ไปให้เพื่อนคนอื่นที่กำลังงงเรื่องนี้เหมือนกันก็ดี มาช่วยกันให้ชีวิตการเงินดีขึ้นกันเถอะ!
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
- แนะนำเว็บคำนวณ ฝากเงินดอกเบี้ยสูงที่ไหนดี?
- 60 แคปชั่นรวยทิพย์กวนๆ ฮาๆ ช้อปแหลกไม่สะเทือนอนาคต!
- 5 แอปรายรับรายจ่าย บนสมาร์ทโฟน ที่ดีที่สุด!