การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) สู่ทำเนียบขาวได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการการเมืองอเมริกันและทั่วโลก ในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของเขา ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารและประกาศนโยบายมากมายที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
จากการถอนตัวออกจากข้อตกลงระหว่างประเทศสำคัญ ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายภายในประเทศอย่างรุนแรง การกระทำของทรัมป์ในวันแรกของการดำรงตำแหน่งได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงวิสัยทัศน์ “อเมริกาต้องมาก่อน” ที่เขายึดมั่น พร้อมกับสร้างความกังวลให้กับพันธมิตรทั่วโลกและผู้สนับสนุนนโยบายสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข
บทความนี้จะวิเคราะห์คำสั่งฝ่ายบริหารและนโยบายสำคัญที่ทรัมป์ได้ประกาศในวันสาบานตน รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสหรัฐอเมริกาและประชาคมโลก
คำสั่งฝ่ายบริหารที่สำคัญ
การถอนตัวจากข้อตกลงระหว่างประเทศ
หนึ่งในการกระทำที่สร้างความตกตะลึงมากที่สุดของทรัมป์คือการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์อย่างชัดเจน แต่ก็สร้างความกังวลอย่างมากในประชาคมโลก
การถอนตัวจาก WHO ในช่วงเวลาที่โลกยังคงเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด-19 อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ในขณะที่การถอนตัวจากข้อตกลงปารีสอาจทำให้ความพยายามในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกต้องสะดุดลง
นโยบายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดศักยภาพการผลิตพลังงานของประเทศ นโยบายนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเขาที่ต้องการให้สหรัฐเป็นมหาอำนาจด้านพลังงาน แต่ก็อาจส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ยกเลิกเป้าหมายการขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 50% ของไบเดน และเสนอให้ลดเงินอุดหนุนและเป้าหมายเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า การตัดสินใจนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นโยบายความมั่นคงชายแดนและการตรวจคนเข้าเมือง
ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงชายแดนและนโยบายการรับผู้ลี้ภัย รวมถึงการประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติสำหรับชายแดนทางใต้ นโยบายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนที่แข็งกร้าวของทรัมป์ในประเด็นการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐ
การยุติสิทธิในการได้สัญชาติจากการเกิดสำหรับบุตรของผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารหรือผู้ที่ถือวีซ่าชั่วคราว เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่สร้างความขัดแย้งอย่างมาก และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมายในอนาคต
การจัดการกับ TikTok และความมั่นคงทางไซเบอร์
ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อมอบอำนาจให้บังคับขายหรือปิดแอป TikTok โดยกำหนดระยะเวลาผ่อนผัน 75 วัน ภายใต้กรอบกฎหมาย “ขายหรือถูกแบน” การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของรัฐบาลสหรัฐเกี่ยวกับความมั่นคงทางไซเบอร์และอิทธิพลของจีนในโลกดิจิทัล
การดำเนินการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงอาจสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้งาน TikTok หลายล้านคนในสหรัฐ
นโยบายเศรษฐกิจและการค้า
ภาษีศุลกากรและนโยบายการค้า
ทรัมป์ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบครอบคลุมทั่วโลก แม้ว่าจะยังไม่มีการดำเนินการในทันที แต่แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายการค้าที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของทรัมป์
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประกาศพิจารณาเก็บภาษีศุลกากร 25% สำหรับเม็กซิโกและแคนาดา โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ การตัดสินใจนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์ทางการค้าในภูมิภาคอเมริกาเหนือและอาจนำไปสู่สงครามการค้า
นโยบายพลังงาน
ทรัมป์มีแผนที่จะเติมเต็มคลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐให้เต็มอีกครั้ง ท่ามกลางการลดลงของอุปทานจากรัสเซียและความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น นโยบายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทรัมป์ในการรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
อย่างไรก็ตาม การเน้นย้ำการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจขัดแย้งกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม
การอภัยโทษและความยุติธรรมทางอาญา
ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่ออภัยโทษบุคคลประมาณ 1,500 คนที่เกี่ยวข้องกับ “การจลาจลที่อาคารรัฐสภา” การตัดสินใจนี้สร้างความขัดแย้งอย่างมาก โดยฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นการแก้ไขความอยุติธรรม ในขณะที่ฝ่ายค้านเห็นว่าเป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรม
การเปลี่ยนชื่อทางภูมิศาสตร์
ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อเปลี่ยนชื่อ “อ่าวเม็กซิโก” เป็น “อ่าวอเมริกัน” การตัดสินใจนี้อาจมองได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงลัทธิชาตินิยมที่สุดโต่ง และอาจสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมระหว่างประเทศ
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การดำเนินนโยบายของทรัมป์ในวันสาบานตนได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐ การถอนตัวจากข้อตกลงระหว่างประเทศสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า และการดำเนินการต่อต้านจีนอย่างแข็งกร้าว ล้วนส่งผลให้สหรัฐอาจต้องเผชิญกับความท้าทายทางการทูตอย่างมากในอนาคต
ความสัมพันธ์กับพันธมิตรดั้งเดิมอย่างแคนาดาและเม็กซิโกอาจเกิดความตึงเครียดจากนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ ในขณะที่ความสัมพันธ์กับจีนอาจเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วจากการดำเนินการต่อ TikTok และนโยบายการค้าที่แข็งกร้าว
การถอนตัวจากองค์การอนามัยโลกและข้อตกลงปารีสอาจทำให้สหรัฐสูญเสียบทบาทผู้นำในเวทีโลกด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ประเทศอื่น เช่น จีน เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ผลกระทบต่อนโยบายภายในประเทศ
ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
การยกเลิกเป้าหมายรถยนต์ไฟฟ้าและการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานอาจส่งผลให้สหรัฐถอยหลังในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดอาจได้รับผลกระทบอย่างหนัก ในขณะที่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจได้รับการฟื้นฟู
ด้านการตรวจคนเข้าเมืองและความมั่นคงชายแดน
นโยบายการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในบางภาคส่วนที่พึ่งพาแรงงานต่างด้าว และอาจนำไปสู่วิกฤตมนุษยธรรมตามแนวชายแดน การยุติสิทธิในการได้สัญชาติจากการเกิดอาจสร้างความท้าทายทางกฎหมายและสังคมในระยะยาว
ด้านเศรษฐกิจและการค้า
นโยบายภาษีศุลกากรใหม่อาจส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมภายในประเทศบางส่วนอาจได้รับประโยชน์จากการปกป้องทางการค้า
ความท้าทายทางกฎหมายและการเมือง
หลายนโยบายของทรัมป์อาจเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย โดยเฉพาะการยุติสิทธิในการได้สัญชาติจากการเกิดและการอภัยโทษผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่อาคารรัฐสภา นอกจากนี้ การยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากจากยุคไบเดนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและการฟ้องร้องจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
ทิ้งท้าย
การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์สู่ทำเนียบขาวได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายของสหรัฐอเมริกา ทั้งในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม คำสั่งฝ่ายบริหารและนโยบายที่ประกาศในวันสาบานตนสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายเหล่านี้อาจเผชิญกับความท้าทายทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางการเมือง การฟ้องร้องทางกฎหมาย และปฏิกิริยาจากประชาคมโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จของนโยบายเหล่านี้ในระยะยาว
ในขณะที่ผู้สนับสนุนทรัมป์อาจมองว่านโยบายเหล่านี้เป็นการนำพาสหรัฐกลับสู่ความยิ่งใหญ่ ฝ่ายตรงข้ามกลับมองว่าเป็นการถอยหลังในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและความร่วมมือระหว่างประเทศ ท้ายที่สุดแล้ว เวลาและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจะเป็นตัวตัดสินว่านโยบายเหล่านี้จะนำพาสหรัฐไปในทิศทางใด