การแผ่เมตตาเป็นธรรมะที่สำคัญประการหนึ่งของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นการสร้างความรักความปรารถนาดีให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสุขทั้งกายและใจ อีกทั้งยังมีอานิสงส์มากมายทั้งในปัจจุบันและอนาคต
อานิสงส์การแผ่เมตตา
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงตรัสปรารภเมตตาสูตรว่า “ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของการแผ่เมตตามี 11 ประการ คือ
- หลับเป็นสุข
- ตื่นเป็นสุข
- ไม่ฝันร้าย
- เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
- เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
- เทวดาย่อมรักษา
- ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน
- จิตได้สมาธิเร็ว
- สีหน้าผ่องใส
- ไม่หลงตาย
- เมื่อยังไม่บรรลุ ธรรม ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง
ภิกษุทั้งหลาย พึงเจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิดโดยเจาะจงและไม่เจาะจง พึงเจริญ กรุณา มุทิตา อุเบกขา แม้ไม่ได้มรรคผลก็ยังเข้าถึงพรหมโลกได้” แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีชื่ออรกะ บำเพ็ญเพียรอยู่ป่าหิมพานต์ ได้เป็นอาจารย์สอนหมู่ฤาษี พร่ำสอนอานิสงส์เมตตาว่า “ธรรมดาพรรพชิตควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะเมื่อจิตถึงความแน่วแน่แล้ว ย่อมบังเกิดในพรหมโลกได้” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
“ผู้ใดอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งมวล ด้วยเมตตาจิตอันหาประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำและเบื้องล่าง โดยประการทั้งปวง จิตเกื้อกูล หาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อันผู้นั้นอบรมมาดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้นจะไม่เหลืออยู่ในจิตของเขานั้น”
เมื่อกล่าวคาถาจบ ได้พาหมู่ฤาษีบำเพ็ญเพียรไม่เสื่อมจากฌาน ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก ไม่ได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เป็นเวลา 7 สังวัฏฏกัป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อานิสงส์ของการเจริญภาวนามี อยู่ ๑๑ ประการ นักปฏิบัติธรรมพึงมีความขยันมั่นเพียรเทอญ