ปูทองผู้ฉลาด ปูตัวหนึ่งที่มีสีเหลืองทองอร่าม อาศัยอยู่ในหนองน้ำริมนาของพราหมณ์หนุ่ม วันหนึ่ง พราหมณ์หนุ่มไปล้างหน้าและแปรงฟันที่หนองน้ำ เขาได้พบกับปูทองและรู้สึกเอ็นดู จึงจับขึ้นมาเล่น แต่แล้วก็มีงูเห่าโผล่ออกมาและกำลังจะกัดพราหมณ์หนุ่ม ปูทองจึงใช้ความฉลาดของมันช่วยชีวิตพราหมณ์หนุ่มไว้ได้
ปูทองผู้ฉลาด
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีทรงปรารภการเสียสละชีพของพระอานนทเถระเพี่อพระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีอาชีพกสิกรรม วันหนึ่งเขาไปนาพร้อมบริวารบอกลูกน้องให้ทำงาน แล้วตนเองก็ไปล้างหน้าที่หนองน้ำปลายนาในหนองน้ำนั้นมีปูตัวหนึ่งอาศัยอยู่ มีสีเหลืองเหมือนสีทอง พอถึงหนองน้ำเขาก็แปรงฟัน ก่อนค่อยลงไปล้างหน้า ขณะนั้นเองปูทองได้มาอยู่ใกล้ ๆ เขา เขาเห็นมันแล้วเกิดความเอ็นดูมันจึงจับมันขึ้นมาวางไว้ที่ผ้าห่มของเขา เมื่อจะกลับไปทำนาต่อก็ปล่อยมันลงน้ำไป
วันต่อมา พอเขามาถึงนาก็จะแวะไปที่หนองน้ำจับปูขึ้นมานอนที่ผ้าห่มก่อนแล้วไปทำนาทั้งวัน ตกเย็นไปปล่อยปูลงน้ำแล้วค่อยกลับบ้านไปเป็นลักษณะเช่นนี้ประจำ เขากับปูทองจึงเกิดความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ดวงตาของพราหมณ์มีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือจะเป็นวงกลม 3 ชั้นใสแจ๋ว ที่ปลายนานั้นมีกาผัวเมียคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นตาลต้นหนึ่ง นางกาเกิดแพ้ท้องอยากกินดวงตาของพราหมณ์เจ้าของนา “ถ้าไม่ได้กินฉันคงตายแน่ ๆ เลยล่ะ” สามีเอ่ยปากตอบด้วยความเกียจคร้านว่า “น้องจะบ้าเหรอ ใครจะไปบังอาจเอาดวงตาของคนมาได้ อย่าหวังเลยน้อง”
นางกาจึงเสนออุบายอย่างหนึ่งว่า “พี่ใต้ต้นตาลนี้มีงูเห่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ถ้าเราใช้ให้งูเห่ากัดเขาตายแล้วค่อยเจาะดวงตาของเขา ความหวังฉันก็เป็นจริงนะสิ” กาสามีเห็นดีด้วย นับแต่วันนันกาทั้งสองเริ่มปรนนิบัติงูเห่าด้วยการนำอาหารมาให้เป็นประจำ
พอข้าวในนาเริ่มตั้งท้อง ปูทองก็เติบโตเต็มที่วันหนึ่งเวลาเช้าตรู่ พราหมณ์ก็ออกมาดูนาตามปกติ เขาแวะไปที่หนองน้ำจับปูมาวางไว้ที่ผ้าห่มแล้ว กำลังจะเดินขึ้นคันนาเลาะดูข้าวเท่านั้น ก็ถูกงูเห่ากัดเข้าที่น่องล้มลงตรงนั้น งูเห่ากัดเข้าก็เลื้อยเข้าจอมปลวกไป พอเขาล้มลงปูทองได้กระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนยอดอกของเขา กาตัวผู้ก็บินมาจับบนร่างของเขาเช่นกัน ขณะที่กากำลังจะจิกดวงตาของเขานั่นเอง ปูทองก็ใช้ก้ามปูหนีบคอกาเอาไว้แน่น แล้วขู่ว่า “เจ้ากาชั่ว เจ้าเรียกงูมาเดี๋ยวนี้นะ มิเช่นนั้น เจ้าคอขาดแน่ ๆ”
กากลัวตายจึงร้องเรียกงูว่า “เฮ้ย..งูเห่าเพื่อนรักกลับมาก่อน ข้าถูกปูตาโปนหนึบคอแล้ว กลับมาช่วยกันก่อน”
งูเห่าพอได้ยินเสียงเรียกก็เลื้อกลับมาแผ่บังพานหันจะฉกปู ปูจึงใช้กามปูอีกข้างหนึ่งหนีบคองูเอาไว้อีก งูเห่าดิ้นไม่หลุดจึงร้องถามปูทองว่า “เจ้าปูตาโปน ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้นะ เจ้าหนีบคอพวกข้าทั้งสองไว้ทำไม”
ปูทองตอบว่า “เจ้างูชั่ว ชายคนนี้เป็นที่พึ่งของข้า ถ้าเขาตายไปข้าก็ต้องตายด้วย เพราะไม่มีผู้คุ้มครอง เจ้ามาทำให้เขาตายเสียแล้ว พวกเจ้าต้องตาย”
งูฟังแล้วคิดจะล่อลวงปูจึงพูดว่า “เจ้าปูตาโปน ถ้าเช่นนั้น ข้าจะดูดพิษกลับคืนให้เขาฟื้นคืนชีพมา เจ้าปล่อยพวกข้าก่อนสิ ก่อนที่พิษร้ายแรงจะทำให้เขาตาย”
ปูรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของงูจึงพูดว่า “เจ้างูชั่ว ข้าจะปล่อยเจ้า ต่อเมื่อเห็นชายคนนี้ลุกขึ้นได้ก่อนแล้ว ข้าถึงจะปล่อยกาไป”
ว่าแล้วก็คลายก้ามให้งูเลื้อยไปดูดพิษคืน เมื่อพราหมณ์ได้ลุกขึ้นยืนเป็นปกติแล้ว ปูคิดว่าถ้าขืนปล่อยให้สัตว์ทั้งสองนี้ไป ก็จะกลับมาทำร้ายพราหมณ์เจ้าของนาอีกจนได้ จึงใช้ก้ามปูหนีบคอสัตว์ทั้งสองเสียชีวิตทันที ฝ่ายนางกาที่จับอยู่บนต้นตาลเห็นเหตุการณ์กลับตาลบัตรเช่นนั้น ก็รีบบินหนีไปอยู่ที่อื่น
พราหมณ์เจ้าของนาโยนร่างของกาและงูทิ้งเข้าป่าไป นับตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมาพราหมณ์และปูทองก็ยิ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนตราบสิ้นชีวิต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าคิดทำร้ายคนอื่น เพราะตนเองจะเดือดร้อนในภายหลัง คนและสัตว์ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน อย่าได้คิดทำลายสัตว์และธรรมชาติเลย